วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

บาโลเตลลี่ถ้าเป็นแบบนี้ไล่เท่าไรก็คงไม่ไป กดยังไงก็ไม่ลง

ถ้าเป็นแบบนี้ไล่เท่าไรก็คงไม่ไป กดยังไงก็ไม่ลง




โดยที่ปกติแล้ว เวลานักเตะซักคนประกาศจุดยืน แสดงความจงรักภักดีต่อสโมสรฟุตบอล ด้วยการยืนกรานว่าไม่คิดจะย้ายไปไหน ขออยู่ประสบความสำเร็จกับทีมแล้วล่ะก็ มันควรจะเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดี ทั้งสำหรับสโมสรและแฟนบอล

เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แฟนๆ มักจะช้ำใจกับการเห็นดาวเตะขวัญใจออกมาปฏิเสธสัญญาใหม่ที่สโมสรยื่นให้บ้างล่ะ ออกมาเปรยหรือขู่ว่าจะย้ายบ้างล่ะ

โดยที่บางทีก็อาจจะปวดใจไม่แพ้กัน ถ้านักเตะที่อยากให้ย้ายเต็มที อยากให้โละออกไปไวๆ ดันประกาศว่าให้ตายก็ไม่ย้าย

และมาริโอ บาโลเตลลี่ นั้นคือโปรแกรมพรีเมียร์ลีกนักเตะที่น่าจะทำให้เหล่าเดอะค็อปรู้สึกแบบหลังอยู่




ซึ่งการที่ตลาดนักเตะนักเตะหน้าหนาวกำลังจะปิดลงในวันจันทร์ที่จะถึง หมายความว่าแต่ละทีมมีเวลาเหลืออีกแค่ไม่กี่วันที่จะซื้อหรือขายนักตะให้เสร็จสิ้นก่อนเส้นตาย ไม่อย่างนั้นก็ต้องรอไปจนกว่าฤดูกาลจะสิ้นสุดลง

สิ่งนั้นหมายถึงการพลาดโอกาสปรับเปลี่ยนอะไรให้ทันกาลสำหรับครึ่งที่เหลืออยู่ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุดฤดูกาลนี้

และสำหรับ ทีมลิเวอร์พูล แล้วเป้าหมายหลักในการเสริมทัพอยู่ที่การมองหาศูนย์หน้ามาแทนที่การอำลาไปของ หลุยส์ ซัวเรซ และการเจ็บยาวของ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

การที่คาริม เบนเซม่า กับ เอเซเกล ลาเวซซี่ ที่เป็นสองดาวเตะที่มีชื่อตกเป็นข่าวกับหงส์แดงเป็นพิเศษ หลังจากกองหน้าตัวใหม่ในช่วงซัมเมอร์อย่าง 1.ริคกี้ แลมเบิร์ต และ 2.บาโลเตลลี่ ทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่ถูกคาดหวัง




ทางด้าน แลมเบิร์ต นั้นยังพอมีข้อแก้ตัวได้ว่าไม่ถูก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เรียกใช้หรือให้โอกาสมากพอ เพราะถูกจับนั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่ ต่างกับ บาโลเตลลี่ ที่ถูกทุ่มเงิน 16 ล้านปอนด์ ซื้อมาเสริมทีมฟุตบอลหลังเปิดฤดูกาลไปแล้ว โดยหวังว่าจะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในแนวรุกให้กับทีม

และบาโลเตลลี่ กลายเป็นตัวเลือกในแนวรุกอันดับแรกไปในทันที หลังจาก สเตอร์ริดจ์ เจ็บไปตั้งแต่นัดที่ 3 ของฤดูกาล ซึ่งเป็นเกมเดียวที่ทั้งคู่ได้ลงเล่นร่วมกันจนถึงตอนนี้

แต่ว่าหลังจากที่ได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่อง บาโลเตลลี่ ก็ยังเบิกสกอร์แรกในพรีเมียร์ลีกในสีเสื้อของลิเวอร์พูลไม่ได้ จนสุดท้ายร็อดเจอร์สก็ไม่ดันทุรังอีกต่อไป ด้วยการปลด เกรียนโอ้ ออกไปเป็นสำรองในที่สุด

โดยที่วิเคราะห์บอลการหลุดทีมไปของเขาส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ และมีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง รวมถึงแผนการเล่นใหม่ที่ให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง มายืนป็นเบอร์ 9 หลอกแทนดูจะได้ผลดี จนทำให้ผลงานของหงส์แดงในช่วงหลังกระเตื้องขึ้นมา




สิ่งนั้นย่อมหมายความว่าโอกาสที่จะลงเล่นในตารางบอลของบาโลเตลลี่คงจะลดน้อยลงไปอีก โดยเฉพาะเมื่อสเตอร์ริดจ์พร้อมจะคัมแบ็กแล้ว

และทางบาโลเตลลี่ ได้ลงเล่นในไฮไลท์พรีเมียร์ลีกเกมล่าสุดด้วยการเป็นตัวสำรองในช่วง 20 นาทีสุดท้าย ของลีกคัพรอบตัดเชือกนัดที่สอง กับ เชลซี เมื่อวันอังคาร ซึ่งบทบาทของเขายังคงเป็นการไม่มีบทบาทใดๆในการช่วยทีมเหมือนเคย

แถมก็ยังมีส่วนทำให้ทีมเสียฟรีคิกจนนำไปสู่ประตูชัยของ ทีมเชลซี ในเกมนี้ด้วย จากการจ่ายบอลพลาดจนเพื่อนต้องไปตัดฟาวล์

โดยที่ฟอร์มของบาโลเตลลี่ในนัดนี้ยิ่งทำให้กระแสข่าวที่ว่าเขาจะถูกหงส์แดงโละทิ้งมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น แม้เจ้าตัวจะเคยออกมาบอกว่าพร้อมจะสู้เพื่อตำแหน่งและพิสูจน์ตัวเองต่อไปก็ตาม

ช่วงเวลาล่าสุด มิโน่ ไรโอล่า เอเยนต์ของบาโลเตลลี่ ออกมาตอกย้ำถ้อยคำที่บาดหัวใจเหล่าเดอะค็อปหนักขึ้นไปอีก เมื่อบอกว่าเขาได้บอกเกรียนโอ้ไปแล้วว่าให้ลืมเรื่องย้ายทีมไปได้เลย เพราะมีสัญญาอยู่ตั้ง 4 ปี ให้นั่งรับค่าเหนื่อยก้อนโตสบายๆ




และในส่วนโปรแกรมบอลมุมของเอเยนต์แล้ว ปกติจะชอบยุให้นักเตะย้าย เพราะตัวเองจะได้กินเปอร์เซ็นต์จากการซื้อขาย แต่ถ้าขายในช่วงที่ราคาตก ก็หมายความว่าส่วนแบ่งตรงนั้นจะลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เอเยนต์ชื่อดังชาวอิตาเลียนรายนี้ จะยื่นคำขาดไปว่าจะไม่เจรจากับทีมไหนทั้งนั้นในช่วงนี้ ถ้าจะพูดเรื่องย้ายก็ต้องรอให้บาโลเตลลี่ทำผลงานให้ดีก่อน จนค่าตัวพุ่งไปซัก 45-50 ล้านปอนด์ ตอนนั้นค่อยมาว่ากัน

และถ้าเกรียนโอ้ทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ? เอเยนต์ผู้ปรารถนาดีแนะนำนิ่มๆ ว่าก็อยู่ไปเรื่อยๆ ให้มันแห้งตายคาแอนฟิลด์นี่แหละ ให้มันรู้กันไปว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ย้าย ถึงไล่ก็ไม่เลิก

หากได้ฟังแบบนี้แล้ว ทีมลิเวอร์พูล คงต้องคิดหนักว่าควรจะให้ บาโลเตลลี่ ลงมาเล่นหรือเปล่า? เผื่อจับพลัดจับผลูเล่นดีขึ้นมา จะได้รีบหาทีมมารับเซ้งได้ง่ายขึ้น หรือจะเก็บไว้เป็นสีสันและความบันเทิงให้กับแฟนๆ ต่อไปดี

Babybear

ที่มา: http://sport.sanook.com/129613/
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

ศึกฟุตบอลคิงส์ คัพ ในความทรงจำ +คลิป

ศึกคิงส์ คัพ ในความทรงจำ +คลิป


 ฟุตบอล


ซึ่งอีกไม่กี่วัน ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ ที่รู้จักกันดีในนาม ศึกคิงส์ คัพ ก็จะระเบิดศึกขึ้นที่ดินแดนย่าโม จังหวัดนครราชสีมา แล้วนะครับ

โดยที่ คิงส์ คัพ ครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 43 แล้ว ย้ำอีกทีว่า 4 ทีมที่เข้าร่วมฟาดแข้งกันประกอบไปด้วย ทัพช้างศึก

  1. ทีมชาติไทย
  2. ทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดปรีโอลิมปิก
  3. ทีมชาติฮอนดูรัส ชุดยู20 
  4. ทีมชาติอุซเบกิสถาน ที่คาดว่าน่าจะเป็นชุดบี 

โดยที่ทั้ง 4 ทีมจะเตะแบบพบกันหมด ซึ่งทีมที่มีคะแนนสูงสุดก็จะได้ถ้วยพระราชทานอันทรงเกียรติไปครองนั่นเอง

แลไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว กระแส ทีมชาติไทยฟีเวอร์ ยังแรงดีไม่มีตกแบบนี้ ขอโอกาสพาท่านผู้อ่านย้อนความหลัง ถึงฟุตบอลถ้วยนี้กับครั้งที่ผ่านๆ มาบ้างดีกว่ากับ ศึกคิงส์ คัพ ในความทรงจำของแฟนบอลไทย มีอะไรบ้าง เชิญรำลึกด้วยกัน


ข้อที่ 1. ศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 25 พ.ศ 2537 ทีมชาติไทย ถล่ม ทีมชาติเยอรมัน 4 - 0!!





โดยโปรแกรมบอลชิงถ้วยพระราชทาน ศึกคิงส์คัพครั้งที่ 25 ในปี 2537 นักเตะตัวหลักอย่าง

  1. ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
  2. ธชตวัน ศรีปาน หรือ ตะวัน ศรีปาน ในตอนนั้น
  3. ดุสิต เฉลิมแสน
  4. ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล 
  5. โกวิทย์ ฝอยทอง 


ซึ่งทำให้ชนะ ทีมชาติเยอรมันตะวันตก ไป 4 - 0 ในนัดชิงชนะเลิศ

แต่ว่าอย่างไรก็ดีเมื่อได้วิเคราะห์บอลขุนพลเมืองเบียร์ทัพนี้ถือว่าไม่ใช่นักเตะทีมชาติชุดใหญ่นะครับ เป็นทีมระดับแชมป์ภูมิภาค แต่สมาคมฟุตบอลของเยอรมันส่งมาในฐานะทีมชาติเท่านั้นเอง


ข้อที่ 2. ศึกคิงส์ คัพ ในครั้งที่ 31 พุทธศักราช 2543 ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ ถลุง ทีมชาติไทย 7 - 0 !





โดยที่นัดประวัติศาสตร์ที่ควรจดจำอย่างแท้จริง เมื่อ ทีมแชมป์โลก อย่าง ทีมชาติบราซิล ได้จัดเต็มชุดใหญ่ ไล่ถล่ม ทีมชาติไทย 7-0 จากการทำประตูของ

  • 1.ริวัลโด้ ยิงไปในนาทีที่ 12 และนาทีที่ 40
  • 2.โรนัลดินโญ่ ยิงไปในนาทีที่ 40
  • 3.เอเมอร์สัน ยิงไปในนาทีที่ 49 และนาทีที่ 85
  • 4.โรเก้ จูเนียร์ ยิงไปในนาทีที่ 73
  • 5.มาริโอ ยาร์เดล ยิงไปในนาทีที่ 80


และนอกจากรายนามนักเตะระดับโลกที่ทำประตูเหล่านี้แล้ว ยังจะมี

  1. โจวานนี่ เอลแบร์
  2. คาฟู
  3. โรแบร์โต้ คาร์ลอส
  4. จูนินโญ่ เปอร์มันบูร์กาโน่
  5. เซ โรเแบร์โต้ ฯลฯ ที่ได้ลงสนามอีกด้วย



ข้อที่ 3. ศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 28 พุทธศักราช 2540 ลูกไขว้บรรลือโลกของ เดอะ ตุ๊ก





และอีกหนึ่งลูกยิงในตำนาน ศึกคิงส์ คัพ นั่นก็คือ ลูกไขว้ยิงประตูด้วยซ้ายของ เพชฌฆาตหน้าหยก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ซึ่งได้ไขว้เท้าซ้ายซัด ทีมชาติโรมาเนีย ชุดเล็ก จากการเปิดของ เสนาะ โล่งสว่าง ทางกราบขวาของกรอบเขตโทษ ให้ไทยชนะไป 1 - 0 แม้ว่าขณะนั้น เดอะ ตุ๊ก จะมีอายุถึง 38 ปีแล้วก็ตาม


ข้อที่ 4. ศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 14 พุทธศักราช 2524 ขยี้โสมแดงสุดมันส์.




หลังจากที่ตารางบอลทีมชาติไทย เอาชนะ ทีมชาติเกาหลีเหนือผลบอล 2 - 1 ในนัดชิงชนะเลิศ ชนิดสนามศุภชลาศัยแตก ตอนนั้น เกาหลีเหนือ เป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในทัวร์นาเมนต์ และขึ้นนำ ไทย ไปก่อน 1-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก ซึ่งมองมุมไหน ทีมไทยก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย

แต่ซ๋ษเด็กหนุ่ม กองหน้าตัวใหม่ของทีมชาติไทย ที่มีนามว่า ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ได้ยิงตีเสมอให้กับทีมชาติไทยได้ 1 - 1 ในช่วงท้ายของเกม จนต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีกครึ่งละ 15 นาที และเป็นกัปตันทีม เกาหลีเหนือ ที่ทำเกิดแฮนด์บอลในเขตโทษ

ทำให้แฟนบอลรอบๆ สนาม ที่เต็มลู่วิ่ง ต่างวิ่งลงไปสวมกอดนักเตะทีมชาติไทยทันที แฟนบอลเกือบแสนคนในสนามศุภฯต่างดีใจว่าทีมได้แชมป์แล้ว ทั้งที่ยังไม่มีการยิงจุดโทษเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่ เดอะ ตุ๊ก จะได้รับหน้าที่สังหารเข้าไป และกลายเป็นซุปตาร์ของวงการฟุตบอลไทยชั่วข้ามคืน


ข้อที่ 5. ศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 27 - 29 ช่วง สนามแตก ของฟุตบอลทีมชาติไทย





ก็ไม่มีอะไรมาก วิเคราะห์ผลบอลตามคลิปเลยครับ บรรยากาศสุดยอด ถึงแม้จะดูไม่น่าปลอดภัยนักก็ตาม ฮ่าๆๆ





วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์บอล: โค้ชร็อดเจอร์สปักหมุด?

โค้ชร็อดเจอร์สปักหมุด?






หลังจากที่เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ทีมลิเวอร์พูลในศึกโปรแกรมพรีเมียร์ลีก ให้สัมภาษณ์วิเคราะห์บอลเอาไว้หลังเกมเจ๊า ทีมโบลตัน คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า แดเนียล สเตอร์ริดจ์ จะลงซ้อมแบบเต็มที่กับทีม หลังจากนั้นจะเช็คดูว่าพร้อมหรือมีโอกาสแค่ไหนในเกมเจอ ทีมเชลซีวันนี้

และถ้ายังไม่พร้อมก็จะใช้งานในเกมสุดสัปดาห์กับ ทีมเวสต์แฮม ก็จะให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ทำหน้าที่ตรงนั้นไปก่อนเช่นเดิม

เรียกได้ว่า เป็นการตัดเยื่อใยกับ มาริโอ บาโลเตลลี่ แบบชัดเจนอีกครั้ง กุนซือหงส์แดงเห็นว่าทีมได้ประโยชน์จาก บาโลเตลลี่ น้อยมาก เป็นแบบนี้ไม่รู้จะส่งลงเล่นทำไม

สำหรับโครงสร้างของทีมที่พยายามปรับเปลี่ยนกันมาหลังจากเจอปัญหาใหญ่ยาวเหยียดเกือบ 4 เดือน ไม่มี มาริโอ บาโลเตลลี่ เป็นชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของโครงสร้างดังกล่าว




และหลังจากเกมที่พ่ายให้กับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หงส์แดงมีผลงานที่ขยับขึ้นมาน่าพอใจในระดับหนึ่ง เกมรับที่เละเทะพลาดกันแบบง่ายๆ เริ่มไม่ค่อยมีให้เห็นกันมากนัก

สำหรับความพยายามในการแก้ไขปัญหาตรงนี้แบบเร่งด่วนผลออกมาน่าพอใจ ประเด็นต่อไปก็คือกองหน้า ดูเหมือน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ปักหมุดชัดเจนแล้วว่าความคาดหวังกับเกมที่เหลืออยู่ทั้งหมดในฤดูกาลนี้อยู่ที่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์

เท่ากับว่าเป็นการปิดฉากการมีส่วนร่วมของ บาโลเตลลี่ แบบสิ้นเชิง เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่ บาโลเตลลี่ จะปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้เหมาะกับสิ่งที่ ร็อดเจอร์ส ต้องการ

ซึ่งกองหน้าต้องเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ปราดเปรียวในการขยับไปตามช่องที่เปิด นอกจากนี้ต้องเป็นนักเตะที่มีความก้าวร้าวดุดันและทุ่มเท คือมีเกมเพรสซิ่งทันทีที่เสียบอลเพื่อชะลอเกมของคู่แข่งหรือแย่งบอลกลับมาลุยต่ออีกครั้ง




ซึ่งบาโลเตลลี่ นั้นไม่มีเรื่องราวที่ว่ามา การจ่ายบอลต้องให้ไปที่ตัว การเคลื่อนที่ยังไม่จี๊ดจ๊าดมากพอ นอกจากนี้จังหวะเสียบอลของ บาโลเตลลี่ ง่ายเกินไปโดนเบียดนิดเบียดหน่อยเรียบร้อยคู่แข่งทันที ในขณะที่จังหวะต่อเนื่องไม่มีการเพรสซิ่งแบบทันทีทันควัน เพราะมัวแต่นั่งกุมข้อเท้าหรืออะไรประมาณนั้นต่อเนื่องด้วยการแสดงท่าทางหัวเสียหรือบ่นผู้ตัดสิน ซึ่งวินาทีนั้นบอลไปไหนต่อไหนแล้ว

เรื่องของปรับตัวให้เข้ากับโครงสร้างและจังหวะการเล่นของทีมจึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสอย่างยิ่งเหมือนกับการเปลี่ยนสไตล์การเล่น เป็นไปได้ยากครับ

โค้ชร็อดเจอร์ส เริ่มต้นด้วยการให้โอกาสเต็มที่ ทว่า บาโลเตลลี่ ไม่สามารถฉแกฉวยเอาไว้ได้ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เจ็บยาวแต่ยังเป็นที่คาดหวัง ในขณะที่ตัวที่มีโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าไม่สามารถเข้าไปอยู่ในแผนการเล่น เป็นแบบนั้นมันเกินไปแล้ว

สำหรับเกมเจ๊ากับ ทีมโบลตัน เกรียนโอ้ ไม่มีแม้แต่ชื่อตัวสำรอง ไม่มีอาการบาดเจ็บแบบต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ข่าวแค่บอกว่าเป็นไข้ ซึ่งใครคนไหนที่โดนดรอปออกไปจากทีมมักจะมีเหตุผลนี้มารองรับเป็นพื้นฐาน

ซึ่งทีมลิเวอร์พูล เล่นได้ดีพอที่จะเอาชนะ โบลตัน ได้ แต่ปัญหาคือไม่มีกองหน้าอาชีพที่เฉียบคมมากพอมาใช้งาน การจัดตัวเพื่อดวลกับเชลซีหาก สเตอร์ริดจ์ ไม่พร้อมก็จะออกมาในรูปแบบนี้อีกครั้ง




โค้ชร็อดเจอร์ส นั้นพยายามหลีกเลี่ยงการเลือก บาโลเตลลี่ ลงเล่นเป็นหัวหอก ฟังจากคำให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า เดิมพันอนาคตในฤดูกาลนี้ที่เหลืออยู่ขึ้นกับ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เป็นสำคัญ

ในด้านสภาพพร้อมพร้อมส่งลงเล่นแบบยาวๆ ที่เหลืออีก 2-3 คนนั่งดูกันไป วันไหนๆไม่มี สเตอร์ริดจ์ ใช้งาน สเตอร์ลิ่ง แทน

ทีมหงส์แดงยังคงมีเกมสำคัญต่อเนื่องในช่วงนี้ ทั้งการเยือน เชลซี ทั้งรีเพลย์แมตช์กับ ทีมโบลตัน เกมยูโรป้าก็ใกล้กลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงพรีเมียร์ลีก เป้าหมายท็อปโฟร์ยังคงปักธงกันไว้เช่นเดิม

ซึ่งร็อดเจอร์ส ได้อธิบายว่า 6 - 7 นัดที่ผ่านมาทีมพยายามปรับโครงสร้างกันใหม่ เพื่อให้เกมเพรสซิ่งกลับมาอีกครั้ง รวมไปถึงการสร้างสรรค์โอกาสที่สามารถทำได้มากขึ้น





แต่หากตารางบอลนักเตะคนไหนไม่สามารถเข้ากับวิธีการหรือโครงสร้างที่วางไว้ เป็นเรื่องยากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับทีม ร็อดเจอร์ส เข้าสู่โหมดวางมือจาก บาโลเตลลี่ เช่นเดียวกับที่ โค้ชโจเซ่ , โค้ชมูรินโญ่, โค้ชโรแบร์โต้ มันชินี่ และ โค้ชอันโตนิโอ คอนเต้ ทำมาก่อนแล้ว

และหากจะบอกว่าเป็นลางไม่ดีของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ก็คงไม่ใช่ เอาเป็นว่าบอกกันชัดๆและตรงๆกันเลยทีเดียว กุนซือหงส์แดงกำลังต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดทั้งมวลจากลูกทีม โดยเฉพาะแดนหน้า แต่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจาก มาริโอ บาโลเตลลี่

ในด้านของกฏแฟร์เพลย์ทางด้านการเงิน เป็นขวากหนามอย่างหนึ่ง ทำให้ขยับตัวไม่ค่อยจะได้ นั่นทำให้การปักหมุดและการเดิมพันในแดนหน้าของ ร็อดเจอร์ส พุ่งเป้าไปที่ สเตอร์ริดจ์

ถึงแม้จะสุ่มเสี่ยงมากขนาดไหนกับสถานการณ์ที่เชื่อมั่นในกองหน้าเพียงคนเดียวของทีม ดูเหมือนจะมีการเลือกแล้วว่ามาเส้นทางนี้

ในนาทีนี้โปรแกรมบอล มาริโอ บาโลเตลลี่ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทีม แต่เป็นส่วนเกินของทีม เกมไปเยือนเชลซีวันนี่พิสูจน์ร่วมกันว่าจริงหรือเปล่า

ดามัน

ที่มา: http://sport.sanook.com/129181/
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ข่าวฟุตบอล: มุ้ยคัมแบ็คกิเลน,โด้โดนแดงในเกมส์เยือนกอร์โดบา

กลับมาอย่างเป็นทางการ! ทีมอัลเมเรียยกเลิกสัญญา มุ้ยคัมแบ็คกิเลน +คลิป




หลังจากที่ทีมอัลเมเรีย ได้ประกาศวิเคราะห์บอลยกเลิกสัญญากับ เจ้ามุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมกลับมาลงเล่นให้ ทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเดิมทันที

โดยหลังจากที่ ทีมอัลเมเรีย ทีมดังจากศึกลาลีกา สเปน แถลงการณ์วิเคราะห์ผลบอลยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าได้ตกลงยกเลิกสัญญายืมตัว เจ้ามุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าขวัญใจชาวไทย หัวหอกจาก เมืองทองยูไนเต็ด เป็นเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา และพร้อมจะเดินทางกลับมาช่วยต้นสังกัดที่แท้จริงอีกครั้ง

ซึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวโปรแกรมบอลพูดถึง ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งทีมชาติไทยมาอย่างต่อเนื่อง ว่าอยากจะกลับมาเล่นกับ ทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเก่า หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในดินแดนกระทิงดุเท่าที่ควร โดยเฉพาะการปรับตัวในเรื่องภาษา จึงมีผลกระทบถึงโอกาสที่จะลงสนามก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจประกาศโบกมือลา

และล่าสุดทาง สโมสร ทีมอัลเมเรีย ก็ได้แถลงการณ์ยืนยันผ่านทางเว็บไซต์สโมสรแล้วว่า จะทำการยกเลิกสัญญา ธีรศิลป์ แดงดา ยืมตัวเป็นเวลา 1 ปี เป็นที่เรียบร้อย พร้อมส่งตัว เจ้ามุ้ย กลับไปเล่นกับ ทีมเอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด ต้นสังกัดปัจจุบันของเขาทันที

ซึ่งนอกจากนั้นทางสโมสร ทีมอัลเมเรีย ยังได้กล่าวขอบคุณ เจ้ามุ้ย ที่แสดงความเป็นมืออาชีพตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน รวมถึงความมุ่งมั่นและทุ่มเทที่จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศนี้ และกล่าวขอบคุณสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ให้ความร่วมมือมาโดยตลอดด้วย

โดย เจ้ามุ้ย นั้นถือเป็นนักเตะประวัติศาสตร์คนไทยรายแรกที่ได้ไปค้าแข้งใน ลา ลีกา ให้กับ ทีมอัลเมเรีย เมื่อซัมเมอร์ปีที่ผ่านมา ก่อนจะทำผลงานยิงไป 1 ประตูให้ต้นสังกัดเอาชนะ ทีมเรอัล เบติส ในศึกโกปา เดล เรย์ รอบตารางบอล 32 ทีมสุดท้าย

ภาพข่าวจาก : Udalmeriasad.com


มาลองดูคลิปไฮไลท์ฟุตบอล ลูกยิงที่มุ้ยซัดช่วยให้ ทีมอัลเมเรีย บุกชนะ ทีมเรอัล เบติซ 4 - 3 ในศึกโกปาเดลเรย์




จังหวะ2โทษ2แดง! โด้โดนแดง,เบลซัดโทษให้ชุดขาวเฉือนทีมกอร์โดบา 2-1 +คลิป





  • ศึกฟุตบอล ลา ลีกา สเปน 
  • แข่งวันเสาร์ที่ 24 มกราคม 2558 
  • ทีมกอร์โดบา 1 - 2 ทีมเรอัล มาดริด 
  • แข่งที่สนาม : เอสตาดิโอ นูเอโว่ อาร์กันเคล,ถิ่นกอร์โดบา 
  • กรรมการผู้ตัดสิน : อเลฆานโดร โฆเซ่ เอร์นานเดซ 

ในนาทีที่ 3 ทีมกอร์โดบา ได้ประตูออกนำไปอย่างรวดเร็ว จากจังหวะ เบเบ้ ขึ้นเกมทางขวา ลากตัดเข้ากลางก่อนยิงอัดมือ เซร์คิโอ รามอส เต็มๆ กรรมการชี้เป็นจุดโทษทันที และเป็น นาบิล กีลาส ที่สังหารจุดโทษไปแบบเฉียบขาด คาซิญาส พุ่งถูกทาง แต่ช้าไป บอลตุงตาข่ายไปแล้ว ผลบอล 1 - 0

ต่อมานาทีที่ 27 ราชันชุดขาวตามมาแล้ว จังหวะเตะมุมครั้งที่ 5 ฮาเมสเปิดจากฝั่งขวามาเสาแรก แกเร็ธ เบล โขกเฉือนๆเช็ดไปให้ คาริม เบนเซม่า ได้ตวัดยิงจ่อๆเป็นประตูไป ผลบอล 1 - 1

หลังจากนั้นนาทีที่ 83 โด้ออกอาการหงุดหงิด เมื่อบอลโยนเข้าหน้าประตู นายทวารคว้าบอลได้แล้ว แต่โรนัลโด้ ฟิลด์ขาดหวดไปที่เอวของตัวประกบ คู่แข่งเอามือกุมหน้าล้มตัวลงร้องด้วยโอดโอยด้วยความเจ็บปวด กรรมการไม่รอช้า ปรี่เข้ามาแจกใบแดงให้ดาวเตะชาวโปรตุกีสรายนี้ทันที ทำให้ ทีมเรอัล มาดริดต้องเหลือผู้เล่น 10 ตัว

ในนาทีที่ 88 เกมพลิก ซึ่งกลายเป็น ทีมรีล มาดริด ที่ได้ประตูพลิกขึ้นแซง เบล ปั่นฟรีคิกนอกเขตโทษ บอลไปโดนแบนของ เฟเด การ์ตาเบีย ที่ยกขึ้นมา กรรมการชี้เป็นจุดโทษ พร้อมให้ใบเหลืองที่สองแก่ การ์ตาเบีย ทันที เหลือ 10 คนเท่ากัน และเป็น เบล ที่สังหารจุดโทษเข้าไปอย่างเลือดเย็น ผลฟุตบอล 1 - 2

ผลจบเกม ทีมราชันชุดขาว  รีล มาดริด เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แถมต้องเสียดาวเตะคนสำคัญไปด้วย ซึ่งนัดหน้า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็จะโดนแบนด้วย ฮีโร่ต้องยกให้ เบล ที่ยิงจุดโทษในนาทีที่ 89 แซงชนะกอร์โดบา 2 - 1 รักษาจ่าฝูงได้ต่อไป

มาดูรายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริง

ทีมกอร์โดบา 4 - 2  - 3 - 1 :

  • ฆวน การ์ลอส 
  • อาเดรียน กูนิโน่ 
  • อเล็กซานเดอร์ ปานติช 
  • โฆเซ่ เครสโป 
  • เอดิมาร์ ฟราก้า 
  • เดอิบิด 
  • ฟาอุสโต้ รอสซี่ 
  • เบเบ้ 
  • เฟเด การ์ตาเบีย 
  • นาบิล กีลาส 
  • ฟลอริน อันโดเน่


ทีมเรอัล มาดริด 4 - 3  - 3 :

  • อิเคร์ คาซิญาส 
  • ดาเนี่ยล การ์บาฆาล 
  • ราฟาเอล วาราน 
  • เซร์คิโอ รามอส 
  • มาร์เซโล่ 
  • ซามี่ เคห์ดิร่า 
  • โทนี่ โครส 
  • ฮาเมส โรดริเกซ
  • แกเร็ธ เบล 
  • คาริม เบนเซม่า 
  • คริสเตียโน่ โรนัลโด้




วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

ข่าวฟุตบอลชุดขาวผงาดขึ้นรับรายได้สูงสุดในโลก,เฮนโด้ vs คอสต้า

หวิดมีมวย เฮนโด้ vs คอสต้า เกือบไฝว้กันหลังเกม






ล่าสุดแข้งโปรแกรมบอล ทีมหงส์แดง - ทีมสิงห์บลู  ได้มีเรื่องกันหลังจบเกมแคปิตอล วัน คัพ เมื่อวันอังคารที่ผ่าน โดยได้มีปากเสียงกระทบกระทั่งกัน จนเกือบวางมวย ซึ่งเชื่อว่าเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ดีเอโก้ คอสต้า ที่เถียงกันมาตั้งแต่ในเกม

หลังจากที่ เดอะ การ์เดี้ยน ที่เป็นสื่อดังแดนผู้ดีได้วิเคราะห์ผลบอลแฉ เกมจบอารมณ์ไม่จบ เมื่อนักเตะ ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล และ ทีมสิงห์บลูส์ เชลซี    ซึ่งเป็น 2 ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ตกเป็นข่าวว่ามีเรื่องทะเลาะกันหลังจบเกม ศึกแคปิตอล วัน คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ณ สนามแอนฟิลด์ ที่เสมอกันไปผลบอล 1 - 1 เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ได้คาดกันว่านักเตะคู่กรณีน่าจะเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ซึ่งเป็นรองกัปตันทีมเจ้าบ้าน กับ ดีเอโก้ คอสต้า หัวหอกเลือดร้อนของทีมเยือน เพราะทั้งคู่มีปากเสียงกันตั้งแต่จังหวะในเกมแล้ว ซึ่งเมื่อทั้งคู่เดินเข้าอุโมงค์สู่ห้องแต่งตัว ก็ยังไม่ลดราวาศอก จนถึงขั้นผลักอกเตรียมวางมวยกัน แต่ยังดีที่ถูกแยกออกจากกันก่อนจะมีการปล่อยหมัด โดยบรรดาสตาฟฟ์โค้ชและเพื่อนร่วมทีมของทั้งคู่

โดยตารางบอลที่ชนวนขัดแย้งเริ่มมาจากที่ เชส ฟาเบรกาส กองกลางตัวเก่งของ เชลซี พยายามขวางการเล่นฟรีคิกเร็วของ เฮนเดอร์สัน ก่อนที่ คอสต้า กับมิดฟิลด์หงส์แดง จะมีการโต้คารมและผลักอกกันเล็กน้อยนั่นเอง


ในรอบ 10 ปีติด! ชุดขาวผงาดขึ้นรับรายได้สูงสุดในโลกตามคาด





ทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ที่เป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ในลาลีกา ซิวตำแหน่งสโมสรฟุตบอลที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2015

ซึ่งเมื่อทำรายได้เข้าสโมสรได้ถึง 549.5 ล้านยูโร ซึ่งสูงที่สุดเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน ส่วนอันดับสอง ตามมาห่างๆ คือ ทีมผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเงินพุ่งจากปีที่แล้ว ขึ้นมาเป็น 518 ล้านยูโร

โดยทาง เดลอยท์ ฟุตบอล มันนี่ ลีก หรือ Deloitte Football Money League ได้เผยการจัดอันดับสโมสรที่ทำรายได้สูงที่สุดประจำปี 2015 ปรากฎว่า แชมป์ทำเงินมากสุดก็คือ ทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน เมื่อทำรายได้เป็นจำนวนเงินถึง 549.5 ล้านยูโร หรือ 20,755 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน




ซึงลำดับต่อมาเป็น ทีมผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับสองปีนี้ จากเดิมปีที่แล้ว 2014 อยู่ที่สี่เท่านั้น จากตัวเลขก่อนหน้า 423.8 ล้านยูโร หรือ 16,000 ล้านบาท ทะยานเป็น 518 ล้านยูโร หรือ 19,565 ล้านบาท

ในอันดับ 3 ตกเป็นของ ทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมแห่งบุนเดสลีก้า เยอรมัน มีรายได้อยู่ที่ 487.5 ล้านยูโร หรือ 18,400 ล้านบาท

อันดับที่ 4 ทีมบาร์เซโลน่า ร่วงจากที่สองปีที่แล้ว ลงมาอยู่ที่ 4 กวาดไป 484.6 ล้านยูโร หรือ 18,300 ล้านบาท

ในอันดับ 5 นั้นยังคงที่ เป็น ทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง มีรายได้ 474.2 ล้านยูโร หรือ 17,900 ล้านบาท

โดยอันดับที่ 6 - 20 ประกอบไปด้วยทีมดังมากมาย ดังนี้

  6. ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 346.5 ล้านปอนด์ หรือ 18,018 ล้านบาท
  7. ทีมเชลซี พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 324.4 ล้านปอนด์ หรือ 16,868.8 ล้านบาท
  8. ทีมอาร์เซน่อล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 300.5 ล้านปอนด์ หรือ 15,626 ล้านบาท
  9. ทีมลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 255.8 ล้านปอนด์ หรือ 13,301.6 ล้านบาท
10. ทีมยูเวนตุส ลีกอิตาลี - 233.6 ล้านปอนด์ หรือ 12,147.2 ล้านบาท
11. ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ลีกเยอรมัน - 218.7 หรือ 11,372.4 ล้านบาท
12. ทีมเอซี มิลาน ลีกอิตาลี - 208.8 หรือ 10,857.6 ล้านบาท
13. ทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 180.5 หรือ 9,386 ล้านบาท
14. ทีมชาลเก้ 04 ลีกเยอรมัน - 178.9 หรือ 9,302.8 ล้านบาท
15. ทีมแอตเลติโก มาดริด ลีกสเปน - 142.1 หรือ 7,389.2 ล้านบาท
16. ทีมนาโปลี ลีกอิตาลี - 137.8 หรือ 7,165.6 ล้านบาท
17. ทีมอินเตอร์ มิลาน ลีกอิตาลี - 137.1 หรือ 7,129.2 ล้านบาท
18. ทีมกาลาตาซาราย ลีกตุรกี - 135.4 หรือ 7,040.8 ล้านบาท
19. ทีมนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 129.7 หรือ 6,744.4 ล้านบาท
20. ทีมเอฟเวอร์ตัน พรีเมียร์ลีกอังกฤษ - 120.5 หรือ 6,266 ล้านบาท





วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

โค้ชซิโก้ ทำเซอร์ไพรส์เรียก 4 แข้งเก็บตัวลุยคิงส์คัพ

โค้ชซิโก้ ทำเซอร์ไพรส์เรียก 4 แข้งเก็บตัวลุยคิงส์คัพ เน้นวิ่งสู้ฟัดเอาใจแฟนบอลไทย



ฟุตบอล



สำหรับความเคลื่อนไหวของ ทัพฟุตบอลช้างศึก ทีมชาติไทย ชุดทำศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 ระหว่างวันที่ 1 - 7 กุมภาพันธ์ ที่ จังหวัดนครราชสีมา ที่มี ทีมเกาหลีใต้, ทีมอุซเบกิสถาน และ ทีมฮอนดูรัส ร่วมทำการฟาดแข้งในครั้งนี้

และล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 มกราคม 2558  โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย เรียกนักเตะทั้งหมดมารายงานตัวที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ซึ่งก็มีนักเตะมารายงานตัวกันพร้อมหน้า

นำทีมมาโดย

  1. กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์
  2. ชนาธิป สรงกระสินธ์
  3. อดุล หละโสะ
  4. เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
  5. สุทธินันท์ พุกหอม 
  6. ธนบูรณ์ เกษารัตน์
  7. สารัช อยู่เย็น
  8. นูรูล ศรียานเก็ม
  9. อาทิตย์ ดาวสว่าง 
  10. มิก้า ชูนวลศรี 
นักเตะลูกครึ่ง ไทย-เวลส์ ก็ได้เดินทางมารายงานตัวในครั้งนี้ด้วย

โดย โค้ชซิโก้ นั้นยังได้เรียกตัว 4 นักเตะชุดปรีโอลิมปิกอย่าง

  1. จาตุรงค์ พิมพ์คูณ
  2. เจนรบ สำเภาดี
  3. ปฏิภาณ ปิ่นเสริมสูตรศรี
  4. กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์ 
ทั้งหมดเพื่อมาร่วมเก็บตัวกับทีมชุดใหญ่ด้วย สำหรับเอามาทดแทน หากว่ามีนักเตะถอนตัวอีก

โค้ชซิโก้ ได้กล่าววิเคราะห์บอลว่า คู่แข่งของทีมชาติไทยอย่าง

  • ทีมเกาหลีใต้
  • ทีมอุซเบกิสถาน 
  • ทีมฮอนดูรัส 
นั้นต่างก็มีความแข็งแกร่ง แต่ไทยจะยังคงเน้นสไตล์วิ่งสู้ฟัดเหมือนเดิมเพื่อเอาใจแฟนบอล และมีเป้าหมายคือคว้าแชมป์มาครองให้ได้

โดยหลังจากนี้โปรแกรมบอลทีมชาติไทยจะเดินทางไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ กิเลน วัลเล่ย์ จังหวัดนครราชสีมา เป็นเวลา 2 สัปดาห์และมีโปรแกรมอุ่นเครื่อง 3 นัด กับ

  1. ทีมขอนแก่น เอฟซี วันที่ 24 มกราคม
  2. ทีมนครราชสีมา มาสด้า วันที่ 26 มกราคม 
  3. ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด วันที่ 29 มกราคม


โค้ชซิโก้ได้กล่าวว่า นักเตะที่ถอนตัวถือว่าไม่มาก มีเพียงแค่ ชาริล ชัปปุยส์ คนเดียว ผมเชื่อว่า นักเตะที่เรียกเข้ามาทดแทน เล่นเข้ากับระบบอยู่แล้ว ไม่ต้องปรับตัวมากนัก ส่วนในราย ศราวุฒิ มาสุข ที่จะขอถอนตัวอีกคน ผมยังไม่ทราบข่าว แต่ ศราวุฒิ จะเข้ามาคุยกับผมที่กิเลนวัลเล่ย์ อย่างไรก็ตามผมขอดูอาการเขาอีกครั้งก่อน

ในส่วนกรณีที่เรียก ปกเกล้า อนันต์ กองกลางจาก เพื่อนตำรวจ มาแทนที่ ชัปปุยส์ ที่บาดเจ็บ อดีตหัวหอกจอมตีลังกา เผยว่า ปกเกล้า เคยเล่นกับชุดนี้มาตั้งแต่ซีเกมส์ ซึ่งในตำแหน่ง ชัปปุยส์ ปกเกล้า เป็นนักเตะที่เล่นได้อยู่แล้ว ผมมั่นใจว่าคงจะไม่มีผลกระทบกับทีม

และขณะที่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ มิดฟิลด์ ทีมเอสซีจี เมืองทองฯ ที่เพิ่งหายเจ็บหัวเข่าและกลับมาติดทีมชาติไทยในรอบหลายเดือน เผยว่า ตอนนี้อาการบาดเจ็บของผมหายสนิทเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ผมขอขอบคุณพี่โก้ที่วางใจเรียกผมกลับมาติดทีมอีกครั้ง ผมจะขอมุ่งมั่นเต็มที่เพื่อเป้าหมายพาทีมชาติไทยกลับมาคว้าแชมป์คิงส์คัพให้ได้

ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้แต่งตั้ง พล อ สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยชุดคิงส์คัพ แทน กาเซ็ม เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ที่ขอลาออก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่มา: http://sport.sanook.com/127797/

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

ข่าวฟุตบอล: ภาพหลุดชุดแข่งใหม่ ทีมผี - ทีมหงส์ ซีซั่นหน้า

เป็นยังไงกันมั่ง ภาพหลุดชุดแข่งใหม่ ทีมผี - ทีมหงส์ ซีซั่นหน้า





ทางแฟนบอลจะว่ายังไงบ้าง? ที่เมื่อจู่ ๆ ก็มีมือดี ปล่อยภาพหลุดชุดแข่งใหม่ของทีมที่จะใช้ในฤดูกาลใหม่ โดยภาพที่ปล่อยมา เป็นภาพชุดแข่งของ ทีมผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล 2 ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก

ซึ่งวิเคราะห์ผลบอลทางฝั่ง ทีมผีแดง ในชุดเป็นชุดทีมเหย้าสีแดงเป็นหลักตามธรรมเนียม ออกแบบโดย Adidas มีลักษณะเป็นคอวี พร้อมมีแถบสีขาว 3 เส้นพาดอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่ ตรงปลายแขนเสื้อใช้เป็นสีขาวสลับแดง ส่วนด้านข้างลำตัวออกแบบให้มีลวดลายตาข่ายเพื่อใช้ระบายความร้อน พร้อมโลโก้ เชฟโรเล็ต บริษัทผลิตรถยนต์ระดับโลก ที่เป็นเป็นสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อ




ทางส่วน ทีมหงส์แดง นั้นหนักยิ่งกว่า เมื่อมีภาพหลุดตารางบอลออกมาครบทั้ง ชุดเหย้า และ ชุดเยือนในเว็บไซต์ ฟุตตี้ เฮดไลน์ส โดยชุดเหย้านั้นจะยังคงเป็นสีแดง ออกแบบโดย นิว บาลานซ์ พร้อมกับใส่ลายตารางหมากรุกไว้ในเสื้อด้วย ขณะที่ชุดเยือนจะเป็นชุดสีขาว ส่วนชุดแข่งสีดำจะเป็นชุดแบบที่ 3 และคาดว่า ชุดแข่งของลิเวอร์พูลน่าจะเริ่มวางขายตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้




และสำหรับเว็ปไซต์ ฟุตตี้ เฮดไลน์ส นั้น ถือเป็นเว็บไซต์ที่ขึ้นชื่อในการเปิดเผยภาพชุดแข่งออกมาก่อนกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาส่วนมากมันจะถูกต้องเสียด้วย

ติดตามชม ไฮไลท์ฟุตบอล โปรแกรมบอล ผลบอล เพิ่มเติมได้ที่ http://sport.sanook.com/football/
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ฮาเมส ได้คว้ารางวัลสุดยอดการยิงประตู ปุสกัส อวอร์ด +คลิป

ฮาเมส ได้คว้ารางวัลสุดยอดการยิงประตู ปุสกัส อวอร์ด +คลิป





ทำได้สวยงามจริงๆ ฮาเมส โรดริเกวซ จอมทัพทีมชาติโคลอมเบีย ซิวรางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี 2014 จากประตูสุดสวยในเกม ฟุตบอลโลก 2014 ที่ทีมชาติโคลอมเบียเอาชนะ อุรุกวัย 2 - 0 ส่วนอันดับ 2 เป็นประตูของ สเตฟานี่ โรช กองหน้าสาวชาวไอร์แลนด์

ซึ่งฮาเมส โรดริเกวซ ตำแหน่งกองกลางทัพ ทีมโคเคน จาก สโมสรทีมเรอัล มาดริด คว้ารางวัลการทำประตูยอดเยี่ยมประจำปี 2014 หรือ ฟีฟ่า ปุสกัส อวอร์ด 2014 ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า หลังจากเขายิงได้อย่างงามหยดในเกม ฟุตบอลโลก 2014 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ โคลอมเบีย เอาชนะ อุรุกวัย 2 - 0 นั่นเอง

โดยที่จังหวะดังกล่าวนั้น โรดริเกวซ รับบอลมาจากเพื่อนโดยที่หันหลังให้กับประตูบริเวณนอกกรอบเขตโทษ ซึ่งเขาแก้ไขสถานการณ์ด้วยการใช้อกพักบอลก่อน 1 จังหวะ ก่อนพลิกยิงด้วยซ้ายเต็มข้อแบบไม่จับจากระยะกว่า 25 หลา ส่งบอลพุ่งเช็ดคานเข้าไปอย่างสวยงาม และเป็นประตูขึ้นนำผลบอล 1 - 0 ในเกมนั้นของ ทีมชาติโคลอมเบีย


  1. และประตูของ โรดริเกวซ นั้นได้รับการโหวตจากแฟนๆ มากถึง 42% 
  2. อันดับที่ 2 ตกเป็นของ สเตฟานี่ โรช กองหน้าสาวชาวไอริชซึ่งซัดสุดสวยในเกมที่ พีเมาท์ ยูไนเต็ด เจอกับ เว็กฟอร์ด ยูธ ได้ไป 33% 
  3. ทางด้าน โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ หัวหอก ทีมชาติฮอลแลนด์ ได้ที่ 3 สำหรับลูกโหม่งตอร์ปิโดบกในเกม ฟุตบอลโลก 2014 นัดที่เจอกับ สเปน ได้คะแนนโหวต 11%
ที่มา: http://sport.sanook.com/126501/



วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ข่าวฟุตบอล: เรื่องนี้ปล่อยให้ โค้ชซิโก้ ตัดสินใจเถอะ

เรื่องนี้ปล่อยให้ โค้ชซิโก้ ตัดสินใจเถอะ





ซึ่งในทันทีที่รายชื่อของ 20 ขุนพลแข้งฟุตบอลทีมช้างศึก ชุดทำศึกคิงส์คัพ ดินแดนเมืองย่าโม โคราช ในต้นเดือนหน้า ถูกตีข่าวออกไป

ก็ได้มีคำถามมากมายยิงตรงไปถึง โค้ชเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้เป็นหัวหน้าทีมงานสตาฟโค้ช

ว่าทำไม?  ไม่มีชื่อ คนโน้น คนนี้!

สำหรับ โค้ชซิโก้ ผู้ที่นำพาทีมชาติไทยวิ่งชนความสำเร็จมาตลอด 2 ปีเต็ม ๆ ที่รับงาน ไล่ตั้งแต่

  1. ซีเกมส์
  2. เอเชียนเกมส์ 
  3. เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 


ที่กำลังถูกจับตาจากแฟนบอลบางคน ผมย้ำนะครับ ว่าแค่บางคน!




โดยที่โค้ชซิโก้ ที่เป็นเฮดโค้ชใหญ่ทัพช้างศึก

สำหรับการหมางเมินผู้เล่นอย่าง

  1. ธีราธร บุญมาทัน
  2. มิก้า ชูนวลศรี
  3. ประทุม ชูทอง 


นั่นคือกระแส และ สิ่งที่แฟนโปรแกรมบอลกำลังตั้งคำถามถึงเฮดโค้ชใหญ่ว่า 3 คนนี้ ไม่มีชื่อในทีมชาติไทยชุดนี้

และสำหรับเจ้า อุ้ม ธีราธร คือประเด็นที่กำลังถูกถกเถียงว่า ฟอร์มแจ่มแจ๋วมาตลอดปี และฝีเท้าระดับนี้ เขาไม่ดีพอสำหรับทีมชาติหรืออย่างไร?

ในมุมมองของผม ผมบอกเลย ชั่วโมงนี้ เมื่อวัดกันที่ฝีเท้าล้วนๆ ยังไงแล้ว แบ็กซ้ายจอมเทคนิกจากค่ายบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รายนี้ น่าจะเป็นเบอร์ 1 ของทีมชาติไทย

แต่ว่าลึกๆแล้ว ผมมองว่า การที่ โค้ชซิโก้ นั้นไม่เรียก ธีราธร คืนสู่ทีมชาติน่าจะมาจากเหตุผลที่ว่า ในทีมเวลานี้ สำหรับ เจ้าบาส พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา แบ็กซ้ายดาวรุ่งจาก ทีมมังกรไฟ เทโรศาสน ที่โชว์ฟอร์มได้ดีอยู่แล้ว ที่สำคัญ การเข้าขารู้ใจภายในทีม มีมากกว่าเจ้าอุ้ม




ธีราทร - ประทุม 2 กองหลังฟอร์มเยี่ยมในลีก แต่ไร้ชื่อในทีมชุดนี้


เพียงแต่กระแสวิเคราะห์ผลบอล ที่กดดัน และ วิจารณ์ไปทั่วโลกโซเชี่ยล ต่างก็มองว่า ที่ โค้ชซิโก้ นั้นไม่เรียกตัว เจ้าอุ้ม อาจจะเป็นเพราะช่วงเอเชียนเกมส์ เมื่อปลายปีที่แล้ว ต้นสังกัดอย่าง ทีมบุรีรัมย์ฯ นั้นไม่ยอมปล่อยตัว เจ้าอุ้ม และ ตัวของประทุม นั้นไปร่วมทีม เลยทำให้เวลานี้เขาทั้งคู่ไม่มีชื่อในคิงส์คัพหนนี้

โดยที่เรื่องนี้ผมเชื่อนะครับว่า อาจจะมีมูล แต่ลึกๆแล้ว ผมอยากให้แฟนบอลมองในมุมของผู้ที่ขึ้นชื่อว่า หัวหน้าโค้ช ดูบ้าง

ซึ่งจำได้หรือไม่ว่า ก่อนที่ โค้ชซิโก้ และ เหล่านักเตะดาวรุ่งชุดนี้ จะเดินทางไปทำภารกิจทวงบัลลังก์แชมป์ซูซูกิคัพ พวกเขาก็โดนดูถูก ว่าจะได้แชมป์ด้วยผู้เล่นอายุน้อยแบบนี้นะหรือ?

แล้วมันจะเป็นไงล่ะ?




โดยที่ความสำเร็จล่าสุดของ แชมป์อาเซียน

สำหรับเด็กชุดนี้ ได้สยบทุกเสียงวิจารณ์ โดยได้ถีบตัวเองไปสู่ตำแหน่งแชมป์ได้อย่างสวยสดงดงาม พร้อมกับโชว์ให้คนทั้งอาเซียนเห็นว่า การเป็นผู้ชนะทั้งในและนอกสนาม เขาทำกันอย่างไร!

และเรื่องที่สำคัญไปกว่านั้น ผลบอลทีมชุดนี้ได้เรียกสิ่งที่ขาดหายไปในวงการฟุตบอลไทยนั่นคือ ศรัทธา ด้วยฟอร์มที่ตราตรึงใจตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์

ดังนั้นที่ร่ายมายาวขนาดนี้ ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า ในเมื่อเรามี ศรัทธาในฟุตบอลทีมชาติของเรา

เรา ศรัทธาในตัวโค้ชของเรา  แล้วเราจะไม่ ศรัทธาต่อการตัดสินใจของผู้วางหมากของเราเช่นนั้นหรือ?

เรื่องโดย : บ.ส้มซิ่ง

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

ผลบอล: อเล็กซิสยิงปิด!ปืนหรูไล่ต้อนฮัลล์2-0

อเล็กซิสยิงปิด!ปืนหรูไล่ต้อนฮัลล์2-0





  • ศึกฟุตบอล เอฟเอคัพ รอบสาม
  • แข่งวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พศ 2558
  • ทีมอาร์เซน่อล 2 - 0 ทีมฮัลล์ ซิตี้
  • แข่งที่สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
  • กรรมการผู้ตัดสิน : โรเบิร์ต แมดลี่ย์


หลังจากที่วิเคราะห์บอลได้เปิดฉากครึ่งแรกมา 4 นาที โจเอล แคมป์เบลล์ ทำชิ่งกับ อเล็กซิส ซานเชซ ก่อนหลุดเข้าเขตโทษไปซัดด้วยขวา สตีฟ ฮาร์เปอร์ ยังเหนียวเซฟไว้ได้ด้วยขา

ในนาทีที่ 13 ธีโอ วัลค็อตต์ แทงทะลุช่องเข้าเขตโทษทางขวาให้ อเล็กซิส ซานเชซ ได้หลุดไปยิงด้วยขวาบอลไปติดบล็อกแต่ยังมาเข้าทางได้งีดบอลข้าม สตีฟ ฮาร์เปอร์ บอลย้อยตกหลงตาขายเสาไกลออกหลัง

นาทีที่ 20 ทีมอาร์เซน่อล มาได้ประตูขึ้นนำ 1 - 0 จากจังหวะที่ อเล็กซิส ซานเชซ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย แพร์ แมร์เตซาคเกอร์ เทกตัวขึ้นโหม่งกดลงพื่้น เสียบตาข่าย

ซึ่งอีก 3 นาทีต่อมา โทมัส โรซิชกี้ จ่ายทะลุช่องเข้าเขตโทษให้ อเล็กซิส ซานเชซ ได้หลุดไปล็อกหลบ สตีฟ ฮาร์เปอร์ ก่อนยิงหักข้อเน้นๆ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ตามสะกัดบอลจากเส้นประตูไว้ได้อย่างหวุดหวิด เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบครึ่งแรก อาร์เซน่อล ยังนำอยู่ 1 - 0

หลังจากที่ลงมาต่อครึ่งหลังนาทีที่ 48 อเล็กซิส ซานเชซ กระชากบอลหนีการประกบหนีเข้าเขตโทษทางขวาก่อหักข้อยิงบอลพุ่งเรียด สตีฟ ฮาร์เปอร์ ล้มตัวรับเข้าซองไว้ไดไม่พลาด

ต่อมานาทีที่ 73 อเล็กซิส ซานเชซ ได้โอกาสสับไกด้วยขวาบอลพุ่งเข้ากลางประตู สตีฟ ฮาร์เปอร์ นายด่าน ฮัลล์ ซิตี้ เซฟไว้ได้

ในนาทีที่ 82 ทีมปืนใหญ่ นั้นมาได้ประตูหนีไปเป็น 2 - 0 จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ล่า ไหลบอลจากซ้ายเข้ากลางให้ อเล็กซิส ซานเชซ ได้พลิกตัวตะบันด้วยขวาจากหน้าเส้นเขตโทษบอลพุ่งเสียบตาข่าย

ซึ่งก่อนหมดเวลา 2 นาที สตีเฟ่น ควินน์ เปิดบอลเข้ากรอบเขตโทษให้ ทอม ฮัดเดิลสตัน ได้โหม่งแต่ ดาวิด ออสปิน่า ยังไม่พลาดรับเข้าซองไว้ได้ เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม อาร์เซน่อล ไล่ต้อน ฮัลล์ ซิตี้ ไปได้แบบไม่ยาก 2 - 0 ลิ่วผ่านเข้ารอบ 4 ได้สำเร็จ


มาดูรายชื่อตารางบอลผู้เล่นที่ลงสนาม

ทีมอาร์เซน่อล : เล่นในระบบ 4-5-1


  1. ตำแหน่งประตู : ดาวิด ออสปิน่า
  2. ตำแหน่งกองหลัง : 1.เอคตอร์ เบเยริน, 2.คาลั่ม แชมเบอร์ส, 3.แพร์ แมร์เตซาคเกอร์ , 4.นาโช่ มอนเรอัล
  3. ตำแหน่งกองกลาง : 1.ฟร็องซิส โกเกอแล็ง, 2.โทมัส โรซิชกี้ , 3.ธีโอ วัลค็อตต์ เปลี่ยนตัว อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงมาในนาทีที่ 75 , 4.โจเอล แคมป์เบลล์ เปลี่ยนตัว เอนสลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส ลงมาในนาทีที่ 90 , 5.ซานติ กาซอร์ล่า
  4. ตำแหน่งกองหน้า : อเล็กซิส ซานเชซ เปลี่ยนตัว ชูบา อัคพอม ลงมาในนาทีที่ 83



ทีมฮัลล์ ซิตี้ : ระบบ 4-4-2


  1. ตำแหน่งประตู : สตีฟ ฮาร์เปอร์
  2. ตำแหน่งกองหลัง : 1.พอล แม็คเชน, 2.เคอร์ติส เดวิส, 3.แฮร์รี่ แม็คไกวร์ , 4.เมย์เนอร์ ฟิเกรัว
  3. ตำแหน่งกองกลาง : 1.ร็อบบี้ เบรดี้ , 2.ทอม ฮัดเดิลสตัน, 3.สตีเฟ่น ควินน์, 4.ทอม อินซ์
  4. ตำแหน่งกองหน้า : 1.ยานนิค ซักโบ เปลี่ยนตัว อเบล เอร์นานเดซ ลงมาในนาทีที่ 66 , 2.โซเน่ อลูโก้ เปลี่ยนตัว อาห์เหม็ด เอลโมฮามาดี้ ลงมาในนาทีที่ 61


ติดตามชม ไฮไลท์ฟุตบอล ได้ที่นี่ http://sport.sanook.com/football/
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์บอล: ล่าสุดสื่อดังจัด 11 แข้งดัง ไม่เคยสัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีก

ล่าสุดสื่อดังจัด 11 แข้งดัง ไม่เคยสัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีก





เมื่อเดลี่ เมล์ Daily Mail ได้แท็บลอยด์หัวดังแห่งเกาะอังกฤษ ได้จัด 11 นักเตะที่อยู่ในหัวอกเดียวกัน ด้วยระบบทีม 3-5-2 ที่ไม่เคยได้สัมผัสถ้วยพรีเมียร์ลีก อังกฤษแม้แต่ครั้งเดียว

ซึ่งนำมาโดย สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตัน ทีมลิเวอร์พูล ที่เตรียมอำลาสังเวียน หลังจบฤดูกาล 2014 - 2015 และอีก 10 ราย อาทิเช่น เพื่อนเก่าอย่าง แบรด ฟรีเดล นายทวารชาวอเมริกัน และ เจมี คาร์ราเกอร์ รวมถึง แกเร็ธ เบล แข้งค่าตัวแพงสุดในโลกด้วย

และส่วนที่เหลือจะเป็นใครกันบ้าง เราลองไปชมกันเลย

รายชื่อ 11 นักเตะดังที่ไม่เคยสัมผัสแชมป์ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ




1.แบรด ฟรีเดล ตำแหน่งผู้รักษาประตู

ผู้ที่สร้างสถิติเฝ้าเสาติดต่อกันนานสุด 310 เกม ของ ศึกพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2004 ถึง เดือนตุลาคม ปี 2012 ถึงแม้จะเป็นนายทวารฝีมือดีคนหนึ่งของเกาะอังกฤษ ทว่าตลอดระยะเวลา 17 ปี กับ

  1. ทีมลิเวอร์พูล
  2. ทีมแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส
  3. ทีมแอสตัน วิลลา 
  4. ทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 

และด้วยอายุอานามล่วงเลยมาถึง 43 ปี ก็ยังไม่เคยสัมผัสโทรฟี ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เลย





2.เจมี่ คาร์ราเกอร์ ตำแหน่งกองหลัง

หลังจากวิเคราะห์ผลบอลที่ได้สวมบทผู้แชร์ความเจ็บปวดกับ เจอร์ราร์ด คว้าแชมป์ร่วมกันมาทั้ง

  1. ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
  2. ยูฟ่า คัพ หรือ ยูโรป้าลีก ในปัจจุบัน 
  3. ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ
  4. เอฟเอ คัพ 2 สมัย 
  5. แคปิตอล วัน คัพ 3 สมัย 
  6. คอมมูนิตี้ ชิลด์ 


ซึ่งยกเว้น พรีเมียร์ลีก ตลอดระยะเวลา 17 ปี ตัวของคาร์ร่า จัดเป็นกองหลังที่ผลงานคงเส้นคงวามากสุดๆ คนหนึ่งของวงการลูกหนัง





3.มาร์เซล เดอไซญี่ ตำแหน่งกองหลัง

เขานั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดเซ็นเตอร์แบ็กระดับโลก รับใช้ ทีมเชลซี มานาน 6 ปี สัมผัสเกียรติยศสูงสุดทั้งแชมป์ ฟุตบอลโลก และ ศึกยูโร กับ ทีมชาติฝรั่งเศส แต่ว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรกับยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอน คว้าแชมป์ระดับสโมสรเพียง

  1. เอฟเอ คัพ
  2. ยูฟา ซูเปอร์คัพ 
  3. แชริตี ชิลด์ 


นอกเหนือจากแชมป์ฟุตบอล ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย กับ ทีมโอลิมปิก มาร์กเซย และ ทีมเอซี มิลาน






4.เลดลี่ย์ คิง ตำแหน่งกองหลัง

ซึ่งหากจะเทียบความสามารถกันแล้ว สำหรับ คิง จัดเป็นกองหลังระดับหัวแถวของเกาะอังกฤษ แต่เจอปัญหาการบาดเจ็บเข่าเรื้อรัง ทำให้ชีวิตการค้าแข้งไม่ราบรื่นนัก เคยถูก แฮร์รี เรดแนปป์ อดีตเจ้านาย ยกย่องในฐานะนักเตะมหัศจรรย์ เพราะไม่สามารถเตะบอลเต็มแรงระหว่างการซ้อม และลงสนาม 1 เกมต่อสัปดาห์ ทว่ายังคงเป็นหัวใจสำคัญในแนวรับ ทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ พาทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ ปี 2009 เพียงใบเดียว ตลอดระยะเวลา 13 ปี





5.ดาวิด ชิโนล่า ตำแหน่งปีก

เขาก็เป็นกำลังสำคัญของ ทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเคยกุมความได้เปรียบเหนือ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 10 แต้ม ฤดูกาล 1995-96 แต่กลับปิดซีซันพ่าย ทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพียง 4 แต้ม




6.สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำแหน่งกองกลาง

ขึ้นทำเนียบนักเตะดีสุดที่ไม่เคยสัมผัสแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ทำได้ใกล้เคียงสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และถูกหลอกหลอนจังหวะลื่นล้ม เกมพ่าย เชลซี คาบ้าน 0-2 เป็นเหตุให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี แซงเข้าวิน ด้วยช่องว่างเพียง 2 แต้ม





7.แม็ทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ตำแหน่งกองกลาง

เขานั้นไม่มีถ้วยแชมป์ติดมือตลอด ถึงแม้โดดเด่นจากทักษะ และการซัลโวประตูสุดสวยกับ เซาแธมป์ตัน ซึ่งไม่เคยหยิบยื่นโอกาสประสบความสำเร็จรายการใดๆ เลย แต่ก็ถือเป็นกองกลางที่มีฝีเท้าฉกาจคนหนึ่งในเกาะอังกฤษ




8.เชส ฟาเบรกาส ตำแหน่งกองกลาง

หลังจากที่ได้ลงเล่นโปรแกรมบอลเกม ลีก คัพ ฤดูกาล 2003 - 2004 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ ทีมอาร์เซนอล คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งสุดท้าย แต่ยังไม่มีชื่อติดทีมชุดใหญ่ จึงไม่ได้รับเหรียญชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม แต่เจ้าตัว มีสิทธิ์ทำสำเร็จ หลังโชว์ฟอร์มโดดเด่นกับ เชลซี ในซีซันนี้




9.แกเร็ธ เบล ตำแหน่งปีก

หลังจากที่ได้อำลาจากถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน ด้วยค่าตัวอันเป็นสถิติสูงสุดของโลก 86 ล้านปอนด์ หรือ 4.3 พันล้านบาท แบบไม่เคยชูโทรฟี่ใดๆ บนเกาะอังกฤษเลย แต่หลังย้ายไปอยู่ ทีมเรอัล มาดริด กับสามารถหยิบแชมป์ 4 รายการ ภายใน 18 เดือน




10.จิอันฟรังโก้ โซล่า ตำแหน่งกองหน้า

ซึ่งเขานั้นเคยคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา เคียงข้าง ดีเอโก้ มาราโดน่า ตำนานลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์มาแล้วสมัยค้าแข้งกับ ทีมนาโปลี ก่อนย้ายมาอยู่ ทีมเชลซี เมื่อปี 1996 แต่ตลอดระยะเวลา 7 ปี ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ศูนย์หน้าร่างเล็กพาทีมคว้าแชมป์ 6 รายการ ยกเว้น ศึกพรีเมียร์ลีก





11.ร็อบบี่ ฟาวเลอร์ ตำแหน่งกองหน้า

ซึ่งดาวยิงสูงสุดอันดับ 6 ของ ศึกไฮไลท์พรีเมียร์ลีก จำนวน 162 ประตู เขานั้นมีสัญชาตญาณในการจบสกอร์ที่เยี่ยมยอด และได้พา ทีมหงส์แดง คว้าโทรฟีมากมาย ทั้ง

  1. เอฟเอ คัพ
  2. ลีก คัพ 2 สมัย
  3. ยูฟ่า คัพ 
  4. ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 


แต่ว่าก็ไม่เคยจับถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก เลย

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ฟุตบอล: เมื่อเจอร์ราร์ด กับการตัดสินใจ ที่เปลี่ยนชีวิต

เมื่อเจอร์ราร์ด กับการตัดสินใจ ที่เปลี่ยนชีวิต




วิเคราะห์บอลคงพูดไม่ผิดนักหากจะบอกว่า ภาพของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ในชุดเสื้อสีอื่นที่นอกเหนือจากสีแดงเพลิงของทีมลิเวอร์พูล นั้นเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจินตนาการของเหล่า Kopites ทั้งปวง

ซึ่งหมู่มวลค็อปชนนั้นไม่เคยคิดมาก่อนแม้สักเวลานาทีว่ากัปตันทีมยอดดวงใจของพวกเขานั้นจะจากสโมสรแห่งนี้ไปอยู่กับทีมใดอีก โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตเช่นนี้

แต่ว่าสิ่งที่ทุกคน เชื่อ นั้นคือเจอร์ราร์ด จะอยู่กับ ทีมลิเวอร์พูล สโมสรเดียวตลอดไปจนเลิกเล่นฟุตบอล มีสถานะเป็น One-man-club เป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่รับใช้สโมสรไปจวบจนลมหายใจสุดท้ายในเกมลูกหนัง

แต่ว่าน่าเสียดายและน่าเสียใจที่สิ่งเหล่านั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น เมื่อสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เตรียมประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต

ที่ว่าเขาคงต้องไปจาก ถิ่นแอนฟิลด์แล้วหลังจบฤดูกาลนี้

ซึ่งความจริงแล้วเจอร์ราร์ด เคยมีโอกาสที่จะไปจาก ทีมฟุตบอลลิเวอร์พูล มาก่อนครับ และเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงมากด้วยอย่างน้อยถึง 2 ครั้งด้วยกัน




ในครั้งแรกในช่วงหลังจบฤดูกาล 2003 - 2004
และ.oอีกครั้ง  ซึ่งใกล้เคียงยิ่งกว่าในช่วงหลังจบฤดูกาล 2004 - 2005 โดยทั้งสองครั้งเป็น ทีมเชลซี ที่พยายามจะเจรจาเพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทีมให้ได้ และครั้งหลังนั้นเจอร์ราร์ด ตอบตกลงด้วยวาจาไปแล้ว

แต่ว่าในคืนสุดท้ายหลังทบทวนตัวเองอย่างดี เสียงของหัวใจบอกกับเขาว่า แม้การไปอยู่ ทีมเชลซีจะทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จมากมาย แต่จะไม่มีเสื้อสีไหนนอกจากสีแดงของลิเวอร์พูล สนามใดนอกเหนือจากแอนฟิลด์ และแฟนบอลกลุ่มไหนนอกเหนือจากเหล่า ทีมเดอะ ค็อป ที่เขาต้องการรับใช้

ตัวของเจอร์ราร์ด จึงไม่ได้เป็นเพียงกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่

แต่ว่าเขายังเป็นผู้รับใช้สโมสรที่จงรักภักดีมากที่สุดคนหนึ่งด้วย





รวมทั้งโอกาสของความสำเร็จ และเงินตราไม่ใช่สาระสำคัญในชีวิต เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องการทำให้ได้คือการนำ ทีมลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งการจะทำให้ได้เช่นนั้น นั่นหมายถึงการ เสียสละ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

แต่ว่าในขณะที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส และหลุยส์ ซัวเรซ เลือกที่จะทิ้งสโมสรอย่างทีมลิเวอร์พูลไปเพราะรู้ถึง ศักยภาพ ของยักษ์หลับในอดีตว่าเป็นเรื่องยากที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

ดังนั้นเจอร์ราร์ด ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่กล้าปฏิเสธสโมสรอย่าง ทีมบาเยิร์น มิวนิค และ ทีมเรอัล มาดริด เพื่ออยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไป

ก็ไม่มีใครรู้ครับว่าน้ำหนักของ ความรับผิดชอบ ที่เจอร์ราร์ด แบกรับแทนทุกคนตลอดระยะเวลา 11 ปีของการเป็นกัปตันทีมนั้นหนักหนาแค่ไหน

ซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้และรับไว้ด้วยความเต็มใจ โดยมิได้ปริปากใดๆไฮไลท์พรีเมียร์ลีก

ถึงแม้จะไม่สามารถบรรลุภารกิจในการนำพาสโมสรกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะกับการคว้าแชมป์ลีกสูงสุด ซึ่งทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การเป็นรองแชมป์ 3 ครั้งในฤดูกาล
2001 - 2002
2008 - 2009
2013 - 2014

ซึ่งก็ได้จบลงอย่างโศกนาฏกรรม เมื่อเจอร์ราร์ด เป็นคน ลื่นล้ม และปล่อยให้โอกาสครั้งเดียวในชีวิตของเขาหลุดมือไป

แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเหล่าเดอะ ค็อป นั้นมี ความทรงจำ ที่งดงามร่วมกันมากมาย

นับจากวันแรกที่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง สู่ประตูแรกที่สวยงามในเกมกับเชฟฟิลด์ เวย์นสเดย์ ก้าวสู่การเป็นกองกลางตัวหลักของทีม และการเป็นกัปตันทีม

ซึ่งจาก ปาฏิหารย์ที่อิสตันบูล กับโทรฟี่ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 2005 สู่ ปาฏิหารย์แห่งคาร์ดิฟฟ์ กับโทรฟี่เอฟเอ คัพ ในปี 2006



ดังนั้นเจอร์ราร์ด เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และศูนย์รวมใจของ ทีมลิเวอร์พูลตลอดมา

แต่ว่า เมื่อวันเวลาเดินทางมาถึงวันที่แข้งขานั้นไม่แข็งแรงเหมือนก่อน พละกำลังไม่มีเหมือนเก่า นักฟุตบอลผู้ทระนงในการเล่นอันสง่างามของตัวเองอย่างเจอร์ราร์ด ยังไม่อาจตัดใจยอมรับสภาพของตัวเองได้

ซึ่งรายได้และระยะเวลาในสัญญา 12 เดือนที่ ทีมลิเวอร์พูล เพิ่งจะมอบให้ในเดือนพฤศจิกายน

- ซึ่งนี่จะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นคำถามว่าเหตุใดบอร์ดบริหารพรีเมียร์ลีกจึงดำเนินการล่าช้าขนาดนี้

- และไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกว่าเขา นักฟุตบอลผู้เคยเป็นเบอร์หนึ่งตลอดกาล จะต้องตกอยู่ในฐานะตัวสำรองที่ต้องเฝ้ารอโอกาสตัวเองอย่างอดทน หรือหากลงตัวจริงก็ถูกตราหน้าว่าเป็น ตัวถ่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมากในความรู้สึก

ถ้าหากอยู่อย่างนี้ สู้จากไปเสียดีกว่า ไปค้นหาความท้าทายใหม่ในบั้นปลายของชีวิตการเล่น ไปในที่ที่เขายังสามารถเป็นเบอร์หนึ่งได้อีกครั้ง

ซึ่งก็ไม่มีหนทางใดดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ดังนั้นนี่จึงเป็นการตัดสินใจ เพื่อตัวเอง ครั้งแรกและครั้งเดียวของเจอร์ราร์ด เป็นการ ตัดสินใจแห่งชีวิต ที่เดอะ ค็อปทุกคนควรต้องยอมรับและปล่อยให้เขาได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เช่นกันกับเพื่อให้สโมสรได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ต้องเสียเวลากังวลกับไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาอีก

และการตัดสินใจครั้งนี้ยังทำให้ทุกคนได้ ตระหนัก ถึงความยิ่งใหญ่ของนักฟุตบอลคนนี้อีกครั้ง เพราะบางทีการมองจากเบื้องหน้านั้นเราอาจไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเจอร์ราร์ด ได้เท่ากับการมองจากเบื้องหลังในวันที่เขาต้องไป

ถึงแม้ว่าเจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงนามในสัญญาฉบับสุดท้ายที่สโมสรมอบให้ และแม้จะต้องร่ำลาจากกันไปก่อนในวันนี้

แต่ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำเพื่อตารางบอลสโมสรตลอดระยะเวลา 16 ปีในการเป็นนักเตะ กับอีก 25 ปีที่ใช้ชีวิตในรั้วแอนฟิลด์ และ 34 ปีที่มอบทั้งกายและใจให้แก่ลิเวอร์พูล สโมสรรักแรกและรักเดียว

หากต่อให้จะไม่ได้สถานะ One-man-club เหมือนเจมี่ คาร์ราเกอร์ - แล้วเจอร์ราร์ด นั้นยังคงเป็นตำนานหมายเลขหนึ่งในดวงใจของเดอะค็อปชนเสมอ ในฐานะ มิสเตอร์ ทีมลิเวอร์พูล ที่ไม่มีใครสามารถทดแทนได้ตลอดกาล

ซึ่งสิ่งสุดท้ายที่เจอร์ราร์ด จะมอบให้แก่เดอะ ค็อป คือ สัญญาใจ ที่จะบอกกล่าวกับทุกคนว่าอย่าได้เศร้าเสียใจนาน

เพราะว่าการจากลาครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ซึ่งเมื่อถึงเวลา เขาจะกลับมา และจะไม่มีวันจากไปไหนอีก !!