แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตารางบอลโลก 2014 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตารางบอลโลก 2014 แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผลบอลพรีเมียร์ลีกของทีมแมนฯ ยูรวมทั้งวิเคราะห์บอลรูปเกมการคุมทีมระหว่างมอยส์และฟานกัล


จากเพลง คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ



สำหรับความผิดพลาดในวันนี้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลวร้ายอะไร และยังมีตัวอย่างให้เห็นบ่อยๆ ว่า รีบเจ็บ รีบหาย รีบกลับมาล่าแชมป์ในตอนท้ายมีบ่อยไป




ถึงแม้ว่าเพลงอาจจะเก่าไปสักหน่อย แต่เชื่อว่าใครหลายคนน่าจะยังจำเพลงนี้ได้ดี และจำหน้าผู้ชายคนนี้ได้แม่นยำไม่ต่างกัน คิดถึงเขาหรือไม่? หลังจากที่ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดซีซั่นด้วยความพ่ายแพ้ แหม แซวเล่น

แต่ว่าเดี๋ยวก่อน

เมื่อ 1 ปีที่แล้ว เดวิด มอยส์ พาทีม ปิศาจแดง เปิด ซีซั่นกับ สวอนซี ซิตี้ ทีมเดียวกันเปี๊ยบ เปลี่ยนสถานที่เป็น ลิเบอร์ตี้ สเตเดี้ยม เวลส์ แถมยังเปลี่ยนสกอร์เป็นคนละเรื่อง 
จาก 1-2 เป็น 4-1




วิเคราะห์บอลนัดที่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2013/14 นัดเปิดสนามกับทีมสวอนซี

  1. ดาบิด เด เคอา
  2. ฟิล โจนส์
  3. ริโอ เฟอร์ดินานด์
  4. เนมานย่า วิดิช
  5. ปาทริซ เอวร่า 
  6. ทอม เคลฟเวอร์ลี่
  7. ไมเคิ่ล คาร์ริค
  8. ไรอัน กิ๊กส์ 
  9. อันโตนิโอ วาเลนเซีย
  10. โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
  11. แดนนี่ เวลเบ็ค

ซึ่งครั้งนั้นทุกคนก็คิดเหมือนกันว่า นี่คือ เดอะ โชเซ่น วัน แต่อยู่ไปเรื่อยๆ ทองก็ลอก แต่มันก็ไม่ได้เริ่มต้นแย่ขนาดนี้




ภาพสถิติ การครอบครองบอลจากเกมเริ่มต้นฤดูกาล 2013/14




ภาพสถิติ การครองบอลจากเกมเริ่นต้นฤดูกาล 2014/15

สำหรับเกมอุ่นเครื่องในช่วงปรีซีซั่นยังไม่สามารถบอกอะไรไม่ได้ เป็นประโยคคลาสสิกที่เรามักจะพูดกันบ่อยๆ ครั้งนี้เราก็ต้องยกประโยคนี้มาพูดอีกครั้ง และแชมป์ กินเนส อินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนส์ คัพ ไม่ได้รับประกันความสำเร็จใน โปรแกรมพรีเมียร์ลีก ไม่ได้จิก แค่พูดความจริง

โดยที่สถิติด้านบนน่าจะพอบอกได้ว่า ชุดนักเตะของ หลุยส์ ฟาน กัล ยังขาดตรงไหน มองคร่าวๆ จากตรงนี้และรูปเกมในสนาม เรื่องของการสร้างสรรค์เกมกลางสนามน่าจะโดนตั้งคำถามมากที่สุด อันเดร เอร์เรร่า ตอบโจทย์หรือยัง? ส่วน แอชลี่ย์ ยัง ที่โชว์ฟอร์มได้ตื่นตามากในปรีซีซั่น กลับไปเป็น อาจารย์ยัง เหมือนเดิม  ส่วน เจสซี่ ลินการ์ด ที่เซอร์ไพรส์เป็นตัวจริง ลงมา 24 นาทีเดี้ยง ก็ทำให้เราได้เจอกับตำนานหลายเลข 11 คนใหม่ อั๊ดนาน ยานาไซ ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยถนัดการเป็นฟูลแบ็ค เข้าใจว่าต้องให้เวลา แต่ถ้าพูดถึงการดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งก็พอใช้ได้ ค่อนไปทางดี




รายชื่อ 11 ผู้เล่นตามคาดของ แม็ตต์ เลอ ทิสซิเอร์ ซึ่งออกมาผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย

วิเคราะห์ผลบอล : หลังจากที่ฟาน กัล ได้พยายามให้โอกาสดาวรุ่งหรือแท็คติกอะไรสักอย่าง และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ตัวจบสกอร์คนสำคัญที่ยังพักแข้งอยู่ หลังผ่าน เวิลด์ คัพ มานานกว่าคนอื่น ส่วน แดนนี่ เวลเบ็ค บาดเจ็บ แต่มันก็น่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ แม้มีหลายคนคิดว่า การจากไปของแข้งตัวเก๋าหลายคนอย่าง 1.
ริโอ เฟอร์ดินานด์, 2.ปาทริซ เอวร่า น่าจะทำให้ แนวรับดาวรุ่งที่มีความเร็วจับคู่แข่งได้อยู่หมัด แม้จะโฉ่งฉ่างไปบ้าง หรือเล่นหนักไปหน่อย แต่น่าจะตามบอลทัน นั่นคือภาพที่เราคิด แต่ความเป็นจริงที่แฟน ผี รู้ดีคือ กองหลังที่มีไว้ใจยังไม่ได้

โดยแนวรุกใน วันนี้ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ชิชาริโต้ ขยันวิ่ง วิ่งเก่ง วิ่งเร็ว แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น เขายังเป็นตัวจบสกอร์โป้งเดียวจอด ที่ควรลงมาทำหน้าที่ซูเปอร์ซับมากกว่าตัวจริง ส่วน เวย์น รูนี่ย์ ก็ถือว่าผลงานไม่เลว ถ้านับรวมประตูตีเสมอ 1-1 แต่นอกเหนือจากนั้น ภาระกัปตันคงหนักไปหน่อย
นี่คือคะแนนความสามารถจาก สปอร์ตส์เมล

  • ดาบิด เด เคอา 5.5

อันที่จริงแล้ว 2 ประตูที่เสียไป ไม่อยากโทษว่าเป็นความผิดของนายด่านรายนี้ แต่ลูกที่ 2 น่าจะป้องกันได้ดีกว่านี้หน่อย

  • ฟิล โจนส์ 6

สำหรับเขาครึ่งแรกเล่นได้ดีทีเดียว แถมยังเล่นเกมรุกได้ดีอีกด้วย เล่นดีจนกระทั่ง เจฟเฟอร์สัน มอนเตโณ่ ลงมาสร้างปัญหาให้ ความดีที่ทำไว้เลยโดนหักล้างไป

  • คริส สมอลลิ่ง 5.5

ซึ่งในบรรดาแนวรับ 3 คน น้องเล็ก ครองบอลได้ดีที่สุด แต่พลาดจังหวะเสียประตูที่ 2 อย่างแรง

  • ไทเลอร์ แบล็คเก็ตต์ 6.5

เขานั้นโดน นาธาน ดายเออร์ เล่นงาน ทำให้โชว์ความสามารถด้านการผ่านบอลได้ไม่ดี


  • เจสซี่ ลินการ์ด 6

ยังได้ลงเล่นน้อยเกินไป ทำให้ได้คะแนนเท่าที่เห็น ซึ่งยังพิสูจน์อะไรไม่ได้


  • อั๊ดนาน ยานาไซ 7 เป็นตัวสำรอง นาทีที่ 24

ได้ดวลกับ นีล เทย์เลอร์ ได้ดี ในบรรดาผู้เล่นทั้งหมดของ ยูไนเต็ด ถือว่าดีที่สุดแล้ว แม้จะยังไม่ถนัดการลงต่ำ แต่ต้องเก็บประสบการณ์อีกนานกว่าจะได้สักครึ่งของ ไรอัน กิ๊กส์

  • ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 6.5

คนนี้ดูโอเคที่สุดในแดนกลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด วันนี้ แต่ถ้าเทียบกับผู้เล่นของ สวอนซี ก็ยังเป็นรอง


  • อันเดร์ เอร์เรร่า 6

เป็นคนที่ครองบอลได้ และเล่นบทบาทปิดทองหลังพระดีทีเดียว เพียงแต่แผนวันนี้อาจดูเหมาะกับ มารูยาน เฟลไลนี่ มากกว่า


  • มารูยาน เฟลไลนี่ 6 เป็นสำรอง นาทีที่ 67

ซึ่งเขาเป็นสำรองที่ลงมาทำหน้าที่ที่แดนกลางของทีมยังขาดไป และวันนี้เล่นดีกว่า อันเดร์ เอร์เรร่า เรียกว่าเปลี่ยนตัวถูกคน


  • แอชลี่ย์ ยัง 5.5

เรียกได้ว่าอาจจะไม่ถนัดนัดที่ต้องเป็นฟูลแบ็ค ทำให้ผลงานตำกว่ามาตรฐาน ขึ้นได้ ลืมลง ต้องปรับตัวอีกหน่อย และจากการที่ปรีซีซั่นทำผลงานดี วันนี้จึงได้คะแนนน้อยผิดคาด


  • ฆวน มาต้า 6

เป็นคนที่ต่อบอลได้ ผ่านบอลดี แต่มีพลาดให้เห็นหลายครั้ง เหมือนความดีกับความผิดพลาดหักล้างกันจนไม่เหลืออะไรมาก


  • ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ 5

มีดีที่ขยันวิ่ง แต่ไม่มีผลงาน จบ!


  • นานี่ 6 เป็นตัวสำรอง นาทีที่ 46

สามารถช่วยเกมด้านริมเส้นซ้ายได้ดีกว่า แอชลี่ย์ ยัง


  • เวย์น รูนี่ย์ 6.5

สำหรับครึ่งแรกดูอึดอัด และมีปัญหาเล็กน้อย แต่ก็ทำประตูได้ อย่างไรก็ดี ส่วนร่วมกับเกมยังน้อยไป




ซึ่งถ้าเขาเอามือขึ้นมาอีกข้างนี่ มอยส์ ชัดๆ


ด้วยความผิดพลาดในวันนี้ของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแค่สะท้อนความบกพร่องบางอย่างของแท็คติกกุนซือดัตช์ที่เราคิดว่าน่าจะ ดี ซึ่งการเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ อาจจะดีกว่าเริ่มต้นแบบสวยหรู เพราะเจ็บทีหลังหนักกว่า และยังมีตัวอย่างให้เห็นบ่อยๆ ว่า รีบเจ็บ รีบหาย รีบกลับมาล่าแชมป์ในตอนท้ายมีบ่อยไป

คำคมด้วยรักและจิกกัด


สำหรับมอยส์วอนขอแฟนผีให้เวลาฟานกัล 



รู้สึกจะหล่อขึ้นมาเลย หลังมอยส์ เปิดใจหลังเห็นทีม ปีศาจแดง พ่ายคาบ้าน วอนสาวก เร้ด อาร์มี่ อดทนรอผลงานของเจ้านายคนใหม่ เชื่ออีกไม่นาน ฟาน กัล พาทีมงัดฟอร์มเก่งแน่

เมื่อเดวิด มอยส์ อดีตผู้จัดการของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแสดงความเห็น หลังจากที่ทัพทีม ปีศาจแดง ทำผลงานสุดบู่ ประเดิมฤดูกาลใหม่ด้วยการเปิดบ้านพ่ายต่อ สวอนซี ซิตี้ ไป 1-2 ในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วอนเหล่า เร้ด อาร์มี่ ให้เวลา หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือคนใหม่ได้พิสูจน์ฝีมือ เชื่ออีกไม่นาน นายใหญ่ชาว ดัตช์ จะพาทีมงัดฟอร์มเก่งได้แน่

โดยมอยส์ ที่เคยได้คุมทีม ปีศาจแดง ต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก่อนถูกปลด ภายในระยะเวลาแค่ 9 เดือน พูดถึงผลงานของต้นสังกัดเก่าว่า ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการคุมทีมต่อจากที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำไว้ ไม่ว่าใครก็ต้องใช้เวลาทั้งนั้น หลุยส์ ฟาน กัล เองก็ต้องการเวลาเพื่อทำงานนี้ให้ดีขึ้น เขาต้องการโอกาสเพื่อจะปรับแต่งทีมให้เป็นอย่างที่ใจเขาต้องการ

และสำหรับ ฟาน กัล ทำสถิติใหม่ที่ไม่มีใครอยากจำ ด้วยการพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้คาบ้านในนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 42 ปี ในขณะที่ มอยส์ แม้จะโดนวิจารณ์เรื่องฝีมือการคุมทีมมากมาย แต่เขาก็ยังสามารถพาทีมบุกไปเอาชนะทีม สวอนซี ถึงบ้านได้ 4-1 ในเกมนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลก่อน


สื่อเมลอ้างทีมหงส์แดงยังสนดึงฟัลเกามาล่าประตู



โดยที่ เดลี่เมล ลือสนั่นว่าทีม หงส์แดง ยังสนดึง ฟัลเกา เสริมแนวรุก แม้หอกโคลอมเบียนสนซบ "ชุดขาว" มากกว่า เล็งหาช่องยืมตัวเสริมทัพแม้ต้องทุ่มจ้างแพง 11 ล้านบ./สัปดาห์ แถมต้องจ่ายค่าเช่าให้ทีม โมนาโก ถึง 660 ล้านบาท

เมื่อเดลี่เมล สื่อชื่อดังรายงานว่า ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยังคงสนใจจะคว้าตัว ราดาเมล ฟัลเกา กองหน้า โมนาโก ใน ลีก เอิง ฝรั่งเศส มาเสริมทัพให้ได้ในฤดูกาลนี้ แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าตัวนักเตะสนใจจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด โคตรทีมใน ลา ลีกา สเปน มากกว่า

สำหรับ เอล ติเกร ไม่ได้มีความสุขกับการค้าแข้งในเมืองน้ำหอมและต้องการจะย้ายทีมโดยมีทีม ราชันชุดขาว เป็นจุดหมายต่อไป อย่างไรก็ตามมหาอำนาจจากแดนกระทิงดุใช้จ่ายไปแล้วเกือบ 90 ล้านปอนด์หรือ 4.95 พันล้านบาท กับ 1.ฮาเมส โรดริเกซ, 2.โทนี่ โครส และ 3.
เคย์เลอร์ นาบาส ทำให้ต้องระวังเรื่องการซื้อนักเตะเพื่อไม่ให้ขัดกับกฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์

จากนั้นทีมเรอัล มาดริด จึงจะขอยืมตัว ฟัลเกา มาก่อนและพ่วงด้วยออพชั่นซื้อขาดหลังจบฤดูกาล แต่ โมนาโก ต้องการให้จ่ายเงินซื้อขาดเท่านั้น หรือไม่อย่างนั้นก็จะปล่อยให้สโมสรอื่นๆ ยืมตัวไปใช้งานแทน

ถึงแม้ว่าดาวยิงโคลอมเบียนจะอยากย้ายไปล่าตาข่ายในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว แต่หาก โลส บลังโกส ไม่ยื่นข้อเสนอขอซื้อตัวเขาไปร่วมทีมภายในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่เหลือก่อนตลาดนักเตะจะปิดลง เจ้าตัวก็พร้อมจะพิจารณาย้ายไปอยู่กับสโมสรอื่นแบบยืมตัวแทนเพื่อรอโอกาสย้ายไปเล่นให้กับทีมในดวงใจในฤดูกาลหน้า

และทีม หงส์แดง จึงหวังที่จะใช้โอกาสนี้ดึงตัว ฟัลเกา มาร่วมทีมให้ได้ แม้จะต้องพบปัญหาทางการเงินทั้งเรื่องค่าจ้างต่อสัปดาห์ซึ่งสูงถึง 200,000 ปอนด์ ราว 11 ล้านบาท แล้วยังจะค่าเช่าซึ่ง โมนาโก เรียกสูงถึง 12 ล้านปอนด์ ราว 660 ล้านบาท โดยหากพวกเขาเจรจาไม่สำเร็จ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็พร้อมจะเสียบดึงตัวหัวหอกร่างตันเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในทันที

มูเผยรำลึกความผิดพลาดเมินเซ็นคอสต้า8ปีก่อน



ถึงแม้ว่ายังไง แต่สุดท้ายก็ได้มา เมื่อมูรินโญ่ รำลึก ตนเองเหมือนเป็นคนตาบอด ที่เมินเซ็นคว้าตัว คอสต้า มาร่วมทัพทีม สิงห์บลูส์ เมื่อ 8 ปีก่อน พร้อมเชื่อทีมอื่นก็คงเสียดายที่มองข้ามนักเตะรายนี้เช่นกัน

โดยหลังจากที่โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือฝีปากกล้าของ เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับว่าตนเองผิดพลาดอยู่ไม่น้อย ที่มองข้ามไม่ยอมเซ็นสัญญาคว้าตัว ดีเอโก้ คอสต้า ศูนย์หน้าทีมชาติ มาร่วมทัพทีม สิงห์บลูส์ เมื่อปี 8 ก่อน สมัยนักเตะรายนี้เริ่มอาชีพค้าแข้งกับ บราก้า ทีมดังในลีก โปรตุเกส โดยเชื่อมั่นด้วยว่าสโมสรอื่น ก็ต้องรู้สึกเสียดายเช่นเดียวกัน

สำหรับกองหน้าวัย 25 ปี ได้โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับืทีม แอตเลติโก มาดริด เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา หลังยิงไป 36 ประตู รวมทุกรายการ พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีก จนสถาปนาขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับท็อปของยุโรป ส่งผลให้ เชลซี ยอมทุ่มเงินถึง 32 ล้านปอนด์หรือ 1,760 ล้านบาท คว้าตัว คอสต้า มาเสริมทีม

และเดอะ แฮปปี้ วัน ซึ่งได้กลับมาคุมทัพทีม สิงห์บลูส์"เป็นครั้งที่ 2 ได้กล่าวถึงความหลังที่พลาดโอกาสคว้าตัว คอสต้า มาร่วมทีมสมัยที่เจ้าตัวมากุมบังเหียน เชลซี ครั้งแรก เมื่อปี 2006 โดยได้ระบุว่า ความจริงแล้ว เมื่อครั้งที่ คอสต้า ค้าแข้งอยู่ในลีกโปรตุเกส ผมก็เห็นเขาอยู่นะ แต่เหมือนทุกๆ คนจะตาบอดกันหมดรวมถึงตัวผมเองด้วย


โดยที่ท่านสามารถติดตาม ไฮไลท์ฟุตบอล ไฮไลท์พรีเมียร์ลีก ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 

เพิ่มเติมได้ที่ 


วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รวมข่าวฟุตบอล-วิเคราะห์บอลประจำวันนี้ 04/07/2557





เยอรมัน งานเข้า! หลังเชื้อหวัดระบาดในแคมป์ ส่งผลให้มีแข้งป่วยระนาว 7 คน รวมไปถึงแข้งตัวดังอย่าง มุลเลอร์ , ฮุมเมิ่ลส์ และ คราเมอร์

วิเคราะห์บอล : ทีมชาติเยอรมัน ได้รับข่าวที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก! หลังล่าสุด "เดลี่ย์เมล์" สื่อดังแห่งแดน "ผู้ดี" ตีข่าวรายงานว่าผู้เล่นของทัพ "อินทรีเหล็ก" จำนวน 7 ราย กำลังป่วยเป็นไข้หวัดกันอย่างหนัก ณ เวลานี้ โดยมี มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ปราการหลังตัวแกร่งจากสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนต์ เป็นผู้แพร่เชื้อเป็นคนแรก ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้เล่นในกลุ่มดังกล่าว ไม่พร้อมสำหรับการลงสนามในเกมที่ขุนพล "ด๊อยช์ทลันด์" จะพบกับ ฝรั่งเศส ในศึก เวิลด์ คัพ 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้าย คืนวันศุกร์ที่จะถึงนี้ (3 ก.ค.)

รายงานดังกล่าวระบุว่า นอกเหนือจากในรายของ ฮุมเมิ่ลส์ แล้ว คริสโตฟ คราเมอร์ และ โธมัส มุลเลอร์ ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อของผู้เล่น 7 คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดเช่นกัน ทำให้ โยอัคคิม เลิฟ เทรนเนอร์เจ้าเสน่ห์ ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ทีมก็เพิ่งจะเสีย ชโครดราน มุสตาฟี่ ไปแบบถาวรในทัวร์นาเมนต์นี้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ ในขณะที่ ซามีร์ เคดิร่า , บาสเตียน ชไวสไตน์เกอร์ และ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ก็เพิ่งฟื้นจากอาการเดี้ยงมาได้ไม่นาน

เลิฟ กล่าวถึงเรื่องนี้สั้นๆ เพียงว่า "นี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่ดีเท่าไหร่เลยของเรา ผมไม่อยากจะดราม่าเกินเหตุก่อนเกมการแข่งขัน ที่ผ่านมาเราต้องเดินทางข้าม ไทม์โซน ไปเตะในสถานที่ซึ่งแตกต่างอยู่หลายครั้ง มันก็เลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าผู้เล่นบางคนอาจจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพ อากาศไม่ทัน และเชื้อมันก็เริ่มจะแพร่ออกไปในทีม"



===============================


ข่าวฟุตบอล "เดเด้" สุดมั่นใจ กร้าวยกให้ "ตราไก่" เป็นทีมตัวเต็งที่จะผ่านเข้ารอบตัดเชือกศึก ฟุตบอลโลก 2014 ต่อไป ยันไม่ได้กลัวบารมี "อินทรีเหล็ก" เลยแม้แต่น้อย ก่อนลงดวล 4 กรกฎาคมนี้

ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ กุนซือมากความสามารถของทีมชาติฝรั่งเศส แสดงความมั่นใจแบบไม่เกรงบารมีคู่แข่งในศึก ฟุตบอลโลก 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้ายในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้อย่างทีมชาติเยอรมัน เลยแม้แต่น้อย พร้อมยืนยันว่าทัพ "ตราไก่" คือตัวเต็งที่จะผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศต่อไปอย่างแน่นอน

ก่อนหน้านี่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ ผู้จัดการทัพ "อินทรีเหล็ก" ให้สัมภาษณ์ระบุว่า ฝรั่งเศส เป็นตัวเต็งที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ซึ่ง "เดเด้" ก็ยอมรับว่าตนเห็นด้วย โดยกล่าวว่า "ใช่แล้ว ผมเห็นด้วย ไม่มีใครกลัวใครแล้ว เยอรมัน เป็นทีมแข็งแกร่ง มีประสบการณ์ แต่ก็ยินดีที่ได้เจอกัน มันไม่มีความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น ผมไม่มีอะไรต้องบอกกับบรรดานักเตะ ประวัติศาสตร์ทั้งหมดเป็นอดีตและพรุ่งนี้เราจะบันทึกหน้าใหม่ลงไป"

สำหรับทีมชาติฝรั่งเศส เคยเจอกับ เยอรมัน มาในการพบกัน 5 นัดหลังสุด "อินทรีเหล็ก" เอาชนะได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น และเป็น "ตราไก่" ที่ชนะได้ถึง 3 นัดด้วยกัน


===============================



สื่อระบุ แข้ง แอลจีเรีย น้ำใจงามเหลือล้น! หลังล่าสุด ตัดสินใจบริจาคเงินรางวัลทั้งหมดที่ได้จากบอลโลกให้กับกลุ่มผู้คนที่ยากไร้ในประเทศบ้านเกิด โดยหวังให้สังคมของบ้านตัวเองยกระดับขึ้นมาให้ดีขึ้น

หัวใจหล่อมาก! "เดลี่ย์เมล์" สื่อดังแห่งแดน "ผู้ดี" ตีข่าวรายงานว่าเหล่านักเตะทีมชาติแอลจีเรีย ชุดลุยศึก เวิลด์ คัพ 2014 ได้ตัดสินใจมอบเงินรางวัลที่ได้ทั้งหมดจากการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์นี้ ให้กับกลุ่มประชาชนผู้ยากไร้ในบ้านเกิด โดยหวังให้ผู้คนภายในประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นบ้างหลังจากนี้

แม้ว่าจะร่วงตกรอบไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น ขุนพล "จิ้งจอกทะเลทราย" ก็สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ได้แบบชนิดหักปากกาเซียน ก่อนที่จะไปพ่ายให้กับ เยอรมัน ในช่วงต่อเวลาพิเศษผลบอล 1-2 (ในเวลาปกติเสมอกัน 0-0) ส่งผลให้เหล่านักเตะได้รับการต้อนรับจากแฟนบอลในประเทศเยี่ยงวีรบุรุษ แต่ถึงกระนั้น นักเตะ แอลจีเรีย ทุกคนก็ตัดสินใจมอบเงินรางวัลที่ได้ทั้งหมดให้กับกลุ่มคนจนผู้ยากไร้ใน ประเทศ โดย อิสลาม สลิมานี่ หัวหอกตัวเก่งของทีม ก็กล่าวถึงเรื่องนี้สั้นๆ เพียงว่า "เงินก้อนนี้จำเป็นต่อพวกเขามากกว่าเรา

ผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ แอลจีเรีย เป็นเพียงชาติเดียวจากทวีปแอฟริกา ที่ไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้นเรื่องเงินโบนัส ซึ่งแตกต่างกับชาติอย่าง ไนจีเรีย, แคเมอรูน และ กานา ที่มีข่าวคราวตกลงเรื่องรายได้กันไม่ลงตัวมาตลอด โดยเฉพาะเหล่านักเตะ กานา ที่ถึงขั้นแบนตัวเองไม่ยอมฝึกซ้อม จนส่งผลให้รัฐบาลของประเทศ ต้องขนเงินจำนวน 2.3 ล้านยูโร ขึ้นเครื่องบินมาให้แบบสดๆ แต่สุดท้าย ทีมก็มีอันร่วงตกรอบแบ่งกลุ่มอยู่ดี





===============================


เนสต้า ยัน เมสซี่ มีศักยภาพฝีเท้าที่เหนือกว่า "CR7" ชัดเจน โดยดูได้จากผลงานการรับใช้ชาติเกิดใน "เวิลด์ คัพ 2014"

อเลสซานโดร เนสต้า ตำนานกองหลังจอมเก๋าทีมชาติอิตาลี และ เอซี มิลาน สโมสรชื่อดังแห่งเวที กัลโช่ เซเรีย อา ยืนยันว่า ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะอัจฉริยะทีมชาติ อาร์เจนติน่า นั้นมีศักยภาพฝีเท้าที่เหนือกว่า คริสเตียโน โรนัลโด้ ปีกจอมถล่มประตูทีมชาติ โปรตุเกส อย่างชัดเจน โดยดูจากฟอร์มการเล่นที่แสดงให้เห็นได้ชัดในทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก 2014

เนสต้า ซึ่งเคยต่อกรกับ เมสซี่ และ เจ้าของโค้ดเนม "CR7" มาแล้วสมัยยังค้าแข้งอยู่ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "บนโลกใบนี้กำลังมองหาผู้เล่นที่สามารถจับตาย เมสซี่ ได้อย่างอยู่หมัด แต่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งนะ ผมเคยเจอกับเขา 4 ครั้งใน 1 ฤดูกาล และผมโชคไม่ดีสุดๆ เลยเพราะว่าตอนนั้นผมก็แก่มากแล้ว เมสซี่ คือนักเตะมหัศจรรย์ โรนัลโด้ เองก็เช่นกัน แต่ เมสซี่ นั้นมีอะไรที่พิเศษกว่า เพราะเขาสามารถสร้างความหนักใจให้กองหลังได้เสมอเลย และมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คุณจะเอาเขาอยู่"

"คุณอาจจะตามประกบเขาได้นะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเหนื่อย คุณจะเห็นว่า เมสซี่ นั้นไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เขาจะยังสดใหม่อยู่เสมอเหมือนกับเพิ่งลงสนามมาใหม่ๆ แต่ถึงแม้เกมกับ สวิตเซอร์แลนด์ มันอาจจะไม่ใช่เกมของเขา แต่ในตอนท้ายเกม เขาก็สามารถผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูได้" อดีตแนวรับ "ปีศาจแดง-ดำ" ร่ายยาว

===============================





จบรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2014 แล้ว ยอดรวมประตูทั้งหมดอยู่ที่ 154 ประตู เป็นการทำเข้าประตูตัวเอง 5 ลูก เฉลี่ย 2.8 ประตูต่อ 1 แมตช์ มากกว่าฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ที่ค่าเฉลี่ย 2.3 ประตู ที่สำคัญจำนวน 154 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ถือเป็นสถิติที่เยอะกว่าทั้งทัวร์นาเมนต์ของฟุตบอลโลก 2006, 2010 และมีโอกาสสูงที่จะทำลายสถิติฟุตบอลโลกที่มีการยิงประตูกันถล่มทลายที่สุด คือ ""ฟร้องซ์ 98"" ที่จำนวนรวม 171 ประตู เพราะตอนนี้ยังเหลืออีก 8 แมตช์ให้แข่งขันกัน


ถ้าแยกออกมาในส่วนของทีมชาติที่ยิงประตูได้มากที่สุดหลังจบรอบ 8 ทีมสุดท้าย เนเธอร์แลนด์ ยิงประตูมากที่สุด 4 นัด 12 ประตู รองลงมาเป็น โคลอมเบีย 4 นัด 11 ประตู ช่วยทีมที่เสียประตูมากที่สุด 9 ลูก ใน 3 แมตช์ คือ ออสเตรเลีย และ แคเมอรูน





ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เมื่อแยกออกมาเป็นลีกแล้ว สถิติลีกที่ยิงประตูได้มากที่สุด คือ อังกฤษ และ เยอรมนี ครองดาวซัลโวร่วมกันอยู่ที่ 30 ประตู (นับทุกลีกในประเทศรวมกัน) รองลงมาเป็น สเปน ที่ 23 ลูก ขณะที่ อิตาลี และ ฝรั่งเศส รั้งเบอร์ 3 เพียง 11 ประตูเท่านั้น แต่ถ้านับเพียงลีกสูงสุด บุนเดสลีก้า เยอรมนี เป็นลีกที่มีนักเตะยิงประตูสูงสุดที่ 30 ประตู แต่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มี 28 ประตู เพราะมีนักเตะชาร์ลตันและวีแกนทำประตูได้ด้วย


สรุปอันดับลีกสูงสุดที่มีนักเตะที่เล่นอยู่ทำประตูในฟุตบอลโลก 2014 มากที่สุด ดังนี้ 
1.บุนเดสลีก้า เยอรมนี 30 ประตู 
2.พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 28 ประตู 
3.ลาลีก้า สเปน 23 ประตู 
4.กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี และลีก เอิง ฝรั่งเศส 11 ประตู 
6.พรีเมร่า ลีก้า โปรตุเกส 8 ประตู 
7.พรีเมียร์ดัตช์ เนเธอร์แลนด์, รัสเซีย พรีเมียร์ลีก รัสเซีย, ลีก้า เอ็มเอ๊กซ์ เม็กซิโก 5 ประตู 
10.คัมเปโอนาโต้ ซีรีอา บราซิล 3 ประตู 
11.เตอร์กิช ซุปเปอร์ลีก ตุรกี, ลีก เอิง ตูนิเซีย, อาระเบียน กัลฟ์ลีก ยูเออี, กรีก ซุปเปอร์ลีก กรีซ 2 ประตู นอกจากนั้นมีสกอตติช พรีเมียร์ลีก สกอตแลนด์, ลีก้า นาซิอองนาล ฮอนดูรัส, อาร์เจนตินา พรีเมร่า, เบลเยียม โปรลีก, พราวา ลีก้า โครเอเชีย, เค-ลีก เกาหลีใต้ที่มีผลงานลีกละ 1 ประตู




ด้านสถิติของสโมสรที่ยิงประตูมากที่สุดใน 56 แมตช์ที่จบไปแล้วของฟุตบอลโลก 2014 บาเยิร์น มิวนิก ที่มีนักเตะซัดรวมกันไปแล้ว 14 ประตู เพราะมีตัวความหวังของหลายชาติอย่าง 
โธมัส มุลเลอร์ ดาวยิงเยอรมนี 
อาร์เยน ร็อบเบน ปีกตัวเก่งของเนเธอร์แลนด์ 
รวมทั้ง เซอร์ดาน ชากิรี่ ตัวความหวังของ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ซัดแฮตทริกคนแรกของทัวร์นาเมนต์นี้ได้ แค่ 3 คนนี้ก็ซัดรวมกัน 10 ลูกแล้ว ยังไม่นับรวม 
มาริโอ มานซูคิช กองหน้า โครเอเชีย ที่ยิง 2 เม็ด 
จูเลียน กรีน กองกลางดาวรุ่ง สหรัฐอเมริกา 
มาริโอ เกิตเซ่ แข้งอินทรีเหล็ก 
รองลงมาเป็นบาร์เซโลน่า รองแชมป์ลาลีก้า สเปน รวม 10 ประตู 4 ลูกจาก 
ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม อาร์เจนตินา 4 เม็ดจาก เนย์มาร์ ซุปเปอร์สตาร์ บราซิล อเล็กซิส ซานเชซ ตัวรุก ชิลี 2 ประตู อันดับ 3 เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยิงได้ 8 ประตูจาก 6 คน คือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กัปตันทีมเนเธอร์แลนด์ที่ยิงคนเดียว 3 ประตู นอกนั้น 5 คนยิงคนละ 1 ประตู มารูยาน เฟลไลนี่(เบลเยียม) นานี่(โปรตุเกส) ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ(เม็กซิโก) เวย์น รูนี่ย์(อังกฤษ) ฆวน มาต้า (สเปน)


ขณะที่อันดับ 4 เป็นของรีล มาดริด แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกทีมล่าสุด ที่มีผลงาน 6 ประตูจาก คาริม เบนเซม่า กองหน้าฝรั่งเศสคนเดียว 3 ประตู คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (โปรตุเกส) อังเคล ดิ มาเรีย (อาร์เจนตินา) ชาบี้ อลอนโซ่ (สเปน) คนละประตู ด้าน โมนาโก จาก ลีกเอิง มาเป็นอันดับ 5 แต่เป็น ฮาเมส โรดริเกซ นักเตะโคลอมเบียที่ยิงคนเดียวทั้ง 5 ลูก


ทีมบิ๊กเนมของยุโรปอีกหลายทีมกลับมีนักเตะที่ทำประตูได้ไม่เยอะนัก เชลซี, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 4 ประตูลิเวอร์พูล 3 ประตู แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ดอร์ทมุนด์, อาร์เซน่อล, เปแอสเช, นิวยอร์ก เร้ดบูล 2 ประตู 


เยอรมนี, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, โคลอมเบีย, คอสตาริกา, เนเธอร์แลนด์, อาร์เจนตินา, บราซิลเป็น 8 ทีมสุดท้ายที่เหลือในตอนนี้ และเหลืออีก 8 นัดที่เหลือ นอกจากการลุ้นแชมป์โลกแล้ว ทีมอย่างอินทรีเหล็กและตราไก่ฝรั่งเศสยังมีลุ้นว่าลีกตัวเองจะเป็นดาวซัลโวด้วยหรือไม่ อีกไม่กี่วันก็รู้แล้ว


===============================


แมตช์นี้ทุกคนต้องห้ามพลาด! ประเทศโคลอมเบียประกาศหยุดงานทั่วประเทศในวันศุกร์นี้เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนในชาติได้ร่วมเชียร์ร่วมลุ้นทีมชาติในนัดที่จะพบกับบราซิล

ฮวน มานูเอล ซานโตส ประธานาธิบดีของโคลอมเบียเอาใจคอลูกหนังเต็มที่ หลังประกาศหยุดทั่วประเทศหนึ่งวัน ในวันวันศุกร์นี้ หลังทีมชาติโคลอมเบียมีคิวดวลแข้งกับบราซิล ในศึกฟุตบอลโลกปี 2014 นี้

ซึ่งก็ถือเป็นแมตช์แห่งประวัติศาสตร์ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรก ซึ่งก็คิดว่าประชาชนทั้งประเทศไม่ควรพลาดลุ้นให้ทีมรักชนะเจ้าภาพให้ได้ ซึ่งผู้นำชาติก็ได้ตัดสินใจประกาศหยุดงานข้าราชการทั้งประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมลุ้นไปด้วยกัน

ติดตามอัพเดทข่าว บอล ฟุตบอล ผลบอล โปรแกรมบอล ตารางบอล

เพิ่มเติมได้ที่

http://sport.sanook.com/worldcup/

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รวมข่าวฟุตบอลโลกในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา


นาทีที่ดิมาเรียฮีโร่ฟ้า-ขาว อาเจนติน่า! ยิงประตูชัย นาทีที่ 118 
ทุบสวิสสุดระทึกด้วยสกอร์ 1-0

ฟุตบอลโลก 2014 

รอบ 16 ทีมสุดท้าย 


วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2557 


อาร์เจนติน่า 0-0 สวิตเซอร์แลนด์


(120นาที อาร์เจนติน่า ชนะ 1-0 ในเวลาพิเศษ)



สนาม : เมืองเซา เปาโล ประเทศบราซิล อารีน่า เด เซา เปาโล 


ผู้ตัดสิน : โยนาส อีริคส์สัน (สวีเดน)

ทีมชาติอาร์เจนติน่า หรือ ฟ้า-ขาว แชมป์กลุ่ม F พบ ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ อันดับสองของกลุ่มอี

วิเคราะห์บอล 10 นาทีแรก ทั้งสองทีมยังทำอะไรกันมากไม่ได้ โดยทำได้เพียงแค่ผลัดกันบุกแต่ยังจบสกอร์กันไม่ได้

นาที 28 ทีมสวิตเซอร์แลนด์ เกือบได้ประตูไปก่อน เซอร์ดาน ชากิรี่ เลี้ยงบอล เข้าเขตโทษ ก่อนจ่ายบอลให้ กรานิต ชาก้า ได้ซัดบริเวณจุดโทษ แต่บอลก็ถูก เซร์จิโอ โรเมโร่ พุ่งปัดไว้ได้อย่างหวุดหวิด


นาทีที่ 36 กรานิต ชาก้า โดนใบเหลืองเป็นคนแรก หลังพุ่งเข้าชนใส่ เอเซเกล ลาเวซซี่ แบบดื้อๆ ในจังหวะที่เจ้าตัวหนีการประกบได้แล้ว

ในช่วงท้ายทั้งสองทีมก็ยังทำอะไรกันไม่ได้ สุดท้ายหมดเวลาครึ่งแรกเสมอกันไป 0-0

ในนาทีที่ 62 อาร์จนติน่า เกือบได้ลุ้นประตู โดย มาร์กอส โรโย่ ครอสจากด้านข้างมาให้ กอนซาโล่ อิกวาอิน วิ่งสอดมาโขกหน้าประตู แต่บอลไปถูก ดิเอโก้ เบนาโย่ โดดปัดออกหลังไปได้อย่างฉิวเฉียด




น.65 สวิตเซอร์แลนด์ แก้เกมก่อน ส่ง เกลสัน แฟร์นองเดส ลงสนามแทน กรานิต ชาก้า

น.73 เกลสัน แฟร์นองเดส มาโดนเหลืองหลังวิ่งเข้าไปสอยใส่ อังเคล ดิ มาเรีย แบบน่าเกลียด

น.74 "อาร์เจน" ตัดสินใจส่ง โรดริโก้ ปาลาซิโอ ลงสนามโดยถอดเอา เอเซเกล ลาเวซซี่ ที่เกมนี้ไม่ได้สร้างโอกาสช่วยทีมมากเท่าที่คว

น.78 "ฟ้า-ขาว" ยังพลาดโอกาสทำประตูไปได้อีกครั้ง คราวนี้ ลิโอเนล เมสซี่ หนีการประกบของ วาลอน เบห์รามี่ ก่อนจะซัดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งลอดขาแนวรับที่พยายามป้องกันไปถูก ดิเอโก้ เบนาโย่ ล้มตัวบล็อกไวได้ ก่อนที่ โรดริโก้ ปาลาซิโอ จะเข้าไปซ้ำ แต่กลายเป็นเจ้าตัวเข้าไปทำฟาวล์ใส่เจ้าตัวเสียก่อน

น.82 "สวิส" ตัดสินใจถอด โจซิป เดอร์มิค ออกไป แล้วให้ ฮาริส เซเฟโรวิช กองหน้าสำรองลงสนามมาช่วยลุ้นประตูแทน

น.89 มาร์กอส โรโย่ มาโดนใบเหลืองเพิ่ม หลังวิ่งเข้าไปสอยเข้าที่เท้าของ ริคาร์โด้ โรดริเกซ จนล้มลงอย่างรุนแรง


ในช่วงท้ายเกมทั้งสองทีม ยังคงไม่สามารถทำประตูกันได้ สุดท้ายหมดเวลาสกอร์เสมอกัน 0-0 ต้องเล่นกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที

15 นาทีแรก ของช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีมก็ยังเล่นแบบสูสี และ "อาร์เจนติน่า" ได้ถอด มาร์กอส โรโย่ ออกไปพัก แล้วให้ โฮเซ่ บาซานต้า ลงมาช่วยเกมรับแทน

หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ยังไม่มีใครทำประตูกันได้เสมอกันอีกครั้ง 0-0 ต้องเล่นต่อในอีก 15 นาทีสุดท้าย

15 นาทีสุดท้าย "อาเจน" ส่ง ลูคัส บีย่า ลงสนามเป็นคนสุดท้ายแทนที่ของ เฟร์นันโด กาโก้

นาทีที่ 109 ฟ้า-ขาว พลาดโอกาสได้ประตูจาก อังเคล ดิ มาเรีย รับบอล จากเพื่อนที่ฝั่งขวา ก่อนจะตัดสินใจ

ซัดบอลด้วยซ้ายเน้นๆ ระยะ 25 หลา แต่ ดิเอโก้ เบนาโย่ ก็ยังไม่พลาดพุ่งตัวปัดไว้ได้อีกเช่นเคย

น.113 "สวิส" เปลี่ยนเอา เบลริม เซไมลี่ ลงมาเป็นคนสุดท้าย โดยถอดเอา อัดเมียร์ เมห์เมดี้ ออกไปพัก

นาทีที่ 118 ฟ้า-ขาว ก็ได้ประตู เมื่อ สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ ทำพลาดถูกแย่งบอลไปได้ ลูกมาเข้าเท้า เมสซี่ ลากมาถึงหน้าเขตโทษ ก่อนจะแทงออกขวาให้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่รออยู่ได้ซัดด้วยซ้าย บอลผ่านมือ ดิเอโก้ เบนาโย่ เสียบตาข่ายเข้าไปอย่างเฉียบขาดให้ "อาร์เจน" ขึ้นนำ 1-0




ช่วงท้ายเกมของการทดเจ็บ สวิตเซอร์แลนด์ น่าจะตีเสมอได้เป็นอย่างยิ่งจากลูกเตะมุม บอลโยนไปเข้าหัว เบลริม เซไมลี่ ได้เทกตัวโขกบอลจ่อๆ ผ่านมือ เซร์จิโอ โรเมโร่ ไปได้แล้ว ลูกพุ่งไปชนเสากระดอนมาโดนหน้าแข้งเจ้าตัวอีกครั้ง แต่ลูกกลับพุ่งเฉี่ยวเสาออกไปแบบเหลือเชื่อ

ก่อนจะหมดเวลา เอเซเกล การาย ได้เสียบ เซอร์ดาน ชากิรี่ หน้าเขตโทษพร้อมกับโดนใบเหลืองไปด้วย พร้อมกับเป็นลูกฟรีคิกระยะ 17 หลา ชากิรี่ วิ่งมาซัดเองแต่บอลก็ไปติดกำแพงก่อนจะโดนเคลียร์ออกไปได้

จบเกมส์ อาร์เจนติน่า เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ไปได้ 1-0 ส่งผลให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ได้สำเร็จ โดยโปรแกรมบอลนัดต่อไปจะเข้าไปพบกับ เบลเยียม ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้



รายชื่อผู้เล่น ทีมชาติอาร์เจนติน่า (4-3-3) :
เซร์จิโอ โรเมโร่ - ปาโบล ซาบาเลต้า, เฟเดริโก เฟร์นานเดซ, เอเซเกล การาย, มาร์กอส โรโย่ (โฮเซ่ บาซานต้า น.105) - เฟร์นันโด กาโก้ (ลูคัส บีย่า น.106), ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, อังเคล ดิ มาเรีย - เอเซเกล ลาเวซซี่ (โรดริโก้ ปาลาซิโอ น.74), ลิโอเนล เมสซี่, กอนซาโล่ อิวาอิน
ผู้เล่นสำรอง
อากุสติน โอริออน - มาเรียโน่ อันดูฆาร์ - อูโก้ กัมปันยาโร่ - มาร์ติน เดมิเคลิส - เอ็นโซ่ เปเรซ - มักซี่ โรดริเกซ - อากุสโต้ เฟร์นานเดซ - ริคคาร์โด้ อัลวาเรซ - เซร์จิโอ อเกวโร่

รายชื่อผู้เล่น ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ (4-2-3-1) :
ดิเอโก้ เบนาโย่ - สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์, โยอัน ฌูรู, ฟาเบียน ชาร์, ริคาร์โด้ โรดริเกซ - วาลอน เบห์รามี่, โกคาน อินแลร์ - เซอร์ดาน ชากิรี่, กรานิต ชาก้า (เกลสัน แฟร์นองเดส น.65), อัดเมียร์ เมห์เมดี้ (เบลริม เซไมลี่ น.113) - โจซิป เดอร์มิค (ฮาริส เซเฟโรวิช น.82)
ผู้เล่นสำรอง
ยานน์ ซอมเมอร์ - โรมัน บูร์กี้ - เรโต้ ซีกเลอร์ - ฟิลิปป์ เซนเดอรอส - มิเชล แลง - ทรานควิโล่ บาร์เน็ตต้า - วาเลนติน สต็อคเกอร์

====================================================




ฮิตซ์เฟลด์ สุดจะภูมิใจกับผลงานของ สวิตเซอร์แลนด์ 

ที่สู้ยิบตาต้านกับ อาร์เจนติน่า สุดชีวิตแม้ว่าสุดท้ายพ่ายฉิว 0-1 ช่วงต่อเวลา พร้อมประกาศปิดฉากชีวิตกุนซือทันทีหลังจบเกม

โดยอ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ เทรนเนอร์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับว่ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกทีมเป็นอย่างยิ่งจากการที่ขุนพล "แดนนาฬิกา" สวมหัวใจสิงห์สู้กับ ทีมชาติอาร์เจนติน่า ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แม้ว่าจะต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่ายให้กับทัพ "ฟ้า-ขาว" ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 พร้อมกันนี้ "ท่านนายพล" ยังประกาศอำลาการคุมทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์อย่างเป็นทางการทันทีหลังจบเกม เมื่อวันอังคารที่ที่ผ่านมา

อดีตเทรนเนอร์ บาเยิร์น มิวนิค กล่าวยกย่องลูกทีมแม้ว่าจะพ่ายให้กับพลพรรค "ฟ้า-ขาว" ว่า "เกมวันนี้ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมาก เราได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของทีม รวมไปถึงแท็กติกและกลยุทธ์ต่างๆที่วางไว้ เราตั้งรับอย่างไม่มีอาการตื่นตระหนก ประตูที่เราเสียในช่วงต่อเวลา ทำให้เราได้เห็นถึงปฏิกริยาตอบสนอง และนั่นก็คือความภาคภูมิใจของเรา"

ทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า  "ผมขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับลูกทีมของ สวิตเซอร์แลนด์ ที่ทำให้คนทั่วโลกจดจำเรา และเรายังสามารถเดินออกจากสนามกลับบ้านด้วยความภูมิใจ แม้จะตกรอบ ส่วนอนาคตของตัวผม ผมกำลังจะประกาศยุติการทำหน้าที่เทรนเนอร์ และผมก็จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง" ฮิตซ์เฟลด์ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ฮิตซ์เฟลด์ วัย 65 ปีหมดสัญญากับสมาคมฟุตบอลสวิตเซอร์แลนด์พอดี หลังจบศึก ฟุตบอลโลก 2014 โดยนายใหญ่รายต่อไปที่จะเข้ามารับช่วงต่อก็คือ วลาดิเมียร์ เพ็ทโควิช อดีตกุนซือของ ลาซิโอ ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี

===========================================================





โอนาซี่ ไม่ติดใจอะไร มาตุยดี้ ยันให้อภัยแล้ว 

หลังแข้งน้ำหอมโร่ขมา หลังเป็นเหตุทำให้เดี้ยงหนักเกม "เวิลด์ คัพ 2014" นัด "อินทรีมรกต" พ่าย "ตราไก่"

โอเกนยี่ โอนาซี่ มิดฟิลด์ทีมชาติไนจีเรีย ออกมาตอบรับคำขอโทษของ แบลส มาตุยดี้ กองกลางทีมชาติ ฝรั่งเศส พร้อมเปิดปากให้อภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังแข้งเลือดน้ำหอมได้ออกมากล่าวขอโทษ เนื่องจากเป็นเหตุทำให้เจ้าตัวนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่องแตก ในเกม ฟุตบอลโลก 2014 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ "อินทรีมรกต" พ่าย "ตราไก่" 0-2 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (30 มิ.ย.)

ภายหลังจบเกมการแข่งดังกล่าวทาง มาตุยดี้ ก็ได้ออกมากล่าวขอโทษกับ โอนาซี่ พร้อมกับอวยพรให้เพื่อนร่วมอาชีพหายไวๆ ด้วยว่า "ผมไม่ได้จงใจจะทำให้เขาเจ็บหนัก ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ เพราะผมไม่ใช่นักเตะนิสัยแบบนั้น ผมขอโทษจริงๆ นะ พอผมรู้เรื่องปุ๊บผมก็เดินไปขอโทษเขาให้ห้องแต่งตัวทันทีเลย"

ล่าสุด โอนาซี่ ก็ได้ออกมายืนยันว่า เจ้าตัวนั้นไม่ได้ติดใจอะไร พร้อมกับรู้สึกขอบคุณที่แข้ง "อินทรีมรกต" ออกมาเปิดปากขอโทษ โดยได้โพสต์ข้อความผ่าน "ทวิตเตอร์" สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังว่า "สวัสดี @MatuidiBlaise ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจ และรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอบคุณจริงๆนะเพื่อน นอกจากนี้ผมต้องขอบคุณเพื่อนของผมและแฟนๆ อันเป็นที่รัก ที่คอยให้กำลังใจผมอยู่เสมอ ผมหวังว่าอาการบาดเจ็บของผมนั้นจะหายดีเป็นปกติโดยเร็วที่สุด"

ก่อนหน้ามีรายงานว่า โอนาซี่ นั้นได้รับบาดเจ็บจนกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่องแตกหักจากเกมดังกล่าว อย่างไรก็ตามล่าสุด "คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต" สื่อกีฬาชื่อดังในประเทศ อิตาลี รายงานว่า ไม่ได้มีส่วนที่แตกหักแต่อย่างใด


===========================================================





ผมยังเด็กอยู่ 

อาซาร์ กล่าวยอมรับ ตอนนี้ฝีเท้าตนยังไม่เจ๋งเท่า "ลีโอเนล เมสซี่" แต่ยังมีเวลาพัฒนาอีกเยอะ พร้อมเชื่อจะพา "ปีศาจแดง" อัด "ฟ้า-ขาว" กระเด็นร่วงรอบ 8 ทีม "เวิลด์คัพ'14"

โดยที่เอแด็น อาซาร์ ปีกตัวจี๊ดทีมชาติเบลเยียมจากสโมสร เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมากล่าวยอมรับว่า ตนเองยังมีฝีเท้าไม่ดีพอเทียบเท่า ลีโอเนล เมสซี่ กองหน้าตัวเก่งทีมชาติอาร์เจนติน่า คู่แข่งที่จะต้องพบกันในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ยังเชื่อตนเองยังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกเหลือเฟือ พร้อมตั้งเป้าหมายพาชาติบ้านเกิด เอาชนะทัพ "ฟ้า-ขาว" ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศให้ได้

"เอเดน กล่าวว่า ผมชื่นชมเมสซี่ และทุกวันนี้ผมยังไม่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ แต่ผมยังมีเวลาอยู่อีกเยอะ อย่างไรก็ตามนั่นมันไม่ใช่เป้าหมายของผม เป้าหมายของผมคือการพาทีมชาติผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศให้ได้ อาร์เจนติน่า ไม่ได้มีแค่เมสซี่ พวกเขามีทีมที่แข็งแกร่ง แต่ก็ชอบพึ่งแค่เมสซี่ คนเดียว" 
กองกลางวัย 23 ปีกล่าว

ทั้งนี้นั้น ทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" เอาชนะ สหรัฐอเมริกามาได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนอาร์เจนติน่า ก็เอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ มาได้ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษเช่นเดียวกัน โดยทั้ง 2 ทีมจะมีคิวโปรแกรมบอลลงดวลแข้งกันในวันเสาร์ที่ 5 กรกฏาคมที่จะถึงนี้

===========================================================


ติดตามข่าว ฟุตบอล วิเคราะห์บอล ผลบอล ตารางบอล โปรแกรมบอล บอลโลก 2014 

เพิ่มเติมได้ที่ 


วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สรุป ผลบอล บอสเนียฯทุบอิหร่าน3-1กอดคอร่วงรอบแรก


ฟุตบอลโลก 2014


รอบสุดท้าย นัดที่ 3 กลุ่มเอฟ

วันพุธที่ 25 มิถุนายน 2557

บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า 3-1 อิหร่าน

สนาม : อาเรน่า ฟอนเต้ โนวา ในเมืองซัลวาดอร์
ตัดสิน : การ์ลอส เบลาสโก้ การ์บาโญ่ (สเปน)



วิเคราะห์บอลเกมนัดสุดท้ายของกลุ่มเอฟ ระหว่าง ทีมชาติบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า พบ ทีมชาติอิหร่าน

เริ่มเกมได้ 9 นาที "บอสเนีย" เป็นฝ่ายได้ทักทายก่อน ทิโน่ ซูซิช ครอสมาที่กลางประตูให้ เอดิน เชโก้ ได้โขกเน้นๆ ไปที่มุมซ้าย แต่บอลก็ไปถูก อาลีเรซ่า ฮาริกี้ เซฟไว้ได้อย่างรวดเร็ว

ผ่านมาถึงนาทีที่ 23 ก็มีประตูแรกทันทีและเป็นฝั่ง บอสเนีย ที่ทำได้ก่อน เมื่อ เชโก้ รับบอลจากเกือบกลางสนาม ก่อนจะมาถึงหน้าเขตโทษแล้วจัดการซัดด้วยซ้ายเน้นๆ บอลพุ่งเรียดหนีมือ อาลีเรซ่า ฮาริกี้ เสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาดช่วยให้ทีมขึ้นนำ 1-0


น.42 บอสเนีย พลาดโอกาสบวกประตูที่สอง เมื่อ เชโก้ จ่ายทะลุช่องให้ อัฟเวียร์ เวอร์ซาเยวิช หลุดเข้าไปซัดในเขตโทษ แต่เจ้าตัวยิงไม่ดีบอลหลุดกรอบออกไปแบบไม่ได้ลุ้น

จากนั้นทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ หมดครึ่งแรก "บอสเนีย" ขึ้นนำ 1-0

น.59 "บอสเนีย" ทำประตูที่สองได้สำเร็จ จากความผิดพลาดของแนวรับ อิหร่าน ไปจ่ายบอลพลาดจนโดนแย่งไปได้ สุดท้ายเป็น ทิโน่ ซูซิช ที่แทงทะลุช่องให้ มิราเล็ม ปานิช หลุดเข้าเขตโทษไปซัดเรียดผ่านมือ อาลีเรซ่า ฮาริกี้ เข้าไปพาทีมให้นำอีกครั้งเป็น 2-0


หลังทำประตูได้ "บอสเนีย" ก็เปลี่ยนตัวสำรองคนแรก ส่ง โอคเยน วรานเยส ลงมาเล่นแทน อาเนล ฮาดซิช

น.63 อิหร่าน เปลี่ยนตัวเพิ่มเป็นคนที่สองส่ง อาลีเรซ่า จาฮานบาค ลงเล่นแทน เอห์ซาน ฮาจ ซาฟี่

น.65 อิหร่าน พลาดโอกาสไล่ตาม จากจังหวะที่ อัซคาน เดยากาห์ ไหลมาให้ อาลีเรซ่า จาฮานบาค ที่เพิ่งเปลี่ยนลงมาได้ลองซัดด้วยซ้าย แต่บอลก็ยังไปเข้ามือ อัสเมียร์ เบโกวิช เซฟไว้ได้แบบไร้ปัญหา

น.68 อัซคาน เดยากาห์ มาถูก อิหร่าน ถอดออกไปจากสนามเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่ทีมจะส่ง คาริม อันซาริฟาด ลงมาเล่นแทน

น.78 มูฮัมเหม็ด เบซิช มารับใบเหลืองเป็นคนแรกของเกม หลังพุ่งเข้าไปชนเสา อัฟเวียร์ เวอร์ซาเยวิช จนตัวลอยในจังหวะที่เจ้าตัวไม่มีบอลอยู่กับตัวไปแล้ว

น.79 "บอสเนีย" ส่ง เซยัด ซาลิโฮวิช ลงสนามมาเป็นคนสุดท้าย โดยถอดเอา ทิโน่ ซูซิช ออกไปพัก

ผ่านจนถึงนาทีที่ 82 อิหร่าน มาทำประตูได้สำเร็จ จากการสกัดบอลไม่ดีของผู้เล่น "บอสเนีย" ก่อนที่ จาวัด เนกูฮาม จะได้โอกาสเปิดเข้าไปหน้าประตูจากฝั่งซ้าย บอลเลยไปถึง เรซ่า กูชานเนจฮัด วิ่งสอดเข้ามาจัดการแหย่ชาร์จจ่อๆ เข้าไปให้ทีมตีไข่แตกเป็น 1-2


แต่มาได้นาทีเดียว "บอสเนีย" มายิงหนีห่างอีกครั้ง เมื่อ เซยัด ซาลิโฮวิช แทงออกขวาให้ อัฟเวียร์ เวอร์ซาเยวิช ที่เติมขึ้นมาได้ลากเข้าไปในเขตโทษ ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะซัดด้วยขวาผ่านมือ อาลีเรซ่า ฮาริกี้ ชนเสาเข้าไปให้ทีมหนีห่างอีกครั้งเป็น 3-1

พอยิงได้ "บอสเนีย" ก็ถอด เอดิน เชโก้ ผู้ทำประตูแรกของทีมออกไปพัก แล้วให้ เอดิน วิสก้า ลงสนามมาประจำการในแดนหน้าแทน

หลังจากนั้นไม่มีการยิงประตูกันเพิ่มอีก หมดเวลา บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า เอาชนะ อิหร่าน ไปได้ ส่งผลให้ทีมขยับขึ้นมารั้งอันดับที่ 3 ของกลุ่มเอฟ โดยมี 3 คะแนน ขณะที่ อิหร่าน จบเป็นที่ 4 ของกลุ่มมีอยู่ 1 คะแนน กอดคอกันตกรอบแรก "เวิลด์ คัพ 2014" เรียบร้อย
รายชื่อผู้เล่น ทีมชาติบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า (4-3-1-2) :
อัสเมียร์ เบโกวิช - อัฟเวียร์ เวอร์ซาเยวิช, โทนี่ ซูนยิช, เอเมียร์ สปาฮิช, เซอัด โคลาซินัค - มูฮัมเหม็ด เบซิช, อาเนล ฮาดซิช (โอคเยน วรานเยส น.61), ทิโน่ ซูซิช (เซยัด ซาลิโฮวิช น.79) - มิราเล็ม ปานิช - เอดิน เชโก้ (เอดิน วิสก้า น.84), เวดัด อิบิเซวิช
ผู้เล่นสำรอง
จาสมิน เฟร์ซิช - อัสเมียร์ อัฟดูคิช - เออร์มิน บิคัคซิช - เซนิยัด อิบิรซิช - ซเวดาน มิสซิโมวิช - เมนซูร์ มุดซ่า - เซนาด ลูลิช - ฮาริส เมดุนยานิน - อิเซ็ต ฮาจ์โรวิช

รายชื่อผู้เล่น ทีมชาติอิหร่าน (4-2-3-1) :
อาลีเรซ่า ฮาริกี้ - เพจมาน มอนตาเซรี่, จาลาล ฮอสเซนี่, อามีร์ ซาเดกี, เมเฮอร์ดาด ปูลาดี้ - อันดรานิค เตย์มูเรียน, จาวัด เนกูฮาม - มาซุด โชจาอี (คอสโร เฮย์ดารี่ น.46), เอห์ซาน ฮาจ ซาฟี่ (อาลีเรซ่า จาฮานบาค น.63), อัซคาน เดยากาห์ (คาริม อันซาริฟาด น.68) - เรซ่า กูชานเนจฮัด
ผู้เล่นสำรอง
รามาน อามาห์ดี้ - ดาเนี่ยล ดาวารี่ - ฮอสเซน มาฮินี่ - อาหมัด อัลนาเมห์ - เรซ่า ฮาริกี้ - กาเซ็ม ฮัดดาดิฟาร์ - บาคเตียร์ ราห์มานี่ - ฮาเช็ม เบซาเดย์ - เมห์ดัด เบห์ทาชู