แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิเคราะห์ผลบอล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิเคราะห์ผลบอล แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มหากาพย์ศึกฟุตบอลแดงเดือดเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1894

Red Fight ประวัติศาสตร์สงครามลูกหนังแดงเดือดแห่งเกาะอังกฤษ




ถ้าจะวิเคราะห์บอลพูดถึงความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมลิเวอร์พูล ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในวงการฟุตบอลว่านี่คือหนึ่งในคู่ปรับที่มีประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาอย่างยาวนานร่วม ร้อยปี

ถึงแม้จะใช้สีเดียวกันเป็นสีประจำสโมสรก็ตาม แต่เป็นแดงคนละเฉด แดงคนละความหมาย

ซึ่งราวกับว่าทั้งสองทีมนี้เกิดมาเพื่อแข่งขัน ประชัน และชิงชังซึ่งกันและกันตลอดเวลาก็ว่าได้

ซึ่งถ้าจะหลักฐานตามประวัติลูกหนัง ของทั้งสองทีม ที่ผูกด้ายแดงแห่งโชคชะตาเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังใช้ชื่อเดิมว่า นิวตัน ฮีธ และ ทีมลิเวอร์พูล เพิ่งแยกตัวจาก ทีมเอฟเวอร์ตัน มาก่อตั้งสโมสรใหม่ โดยการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน ปี 1894 ทีมลิเวอร์พูล เอาชนะ ทีมนิวตัน ฮีธ ไปได้ 2 - 0




1.แมนฯ ยูไนเต็ด ถ่ายไว้เมื่อปี 1910

หลังจากนั้นในปี 1910 ทีมนิวตัน ฮีธ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลงรับมือกับ ทีมลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกที่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเกมนี้ถูกบันทึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีม

โดยที่ในครั้งนั้น ทีมลิเวอร์พูล ยังเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ 4 - 3


แต่ว่าอย่างไรก็ดีในตอนนั้น การขับเคี่ยวระหว่างสองสโมสรยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ในหมู่ชาวเมือง แมนคูเนียน และ เมืองลิเวอร์พัดเลียน นั้นมีความไม่ถูกกันอยู่ อันเป็นผลสืบเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเดิม เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสิ่งทอ ขณะที่ เมืองลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญของประเทศอังกฤษ




2.บิลล์ แชงค์ลี่ย์ กับ บูธรูม ถ่ายไว้เมื่อปี 1960

เพียงแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมีการขุดคลองที่ เมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้เรือต่างๆ ได้ย้ายจากการเทียบท่าที่ เมืองลิเวอร์พูล มาเทียบท่าที่ เมืองแมนเชสเตอร์แทน และทำให้ เมืองลิเวอร์พูล ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

ซึ่งการขับเคี่ยวเพื่อการเป็น สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ได้เริ่มรุนแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 เมื่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จในการเป็นสโมสรอังกฤษแห่งแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ ในปี 1968

แต่ว่าหลังจากนั้น เมืองลิเวอร์พูล ได้ผงาดขึ้นมาผูกขาดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในยุคเรืองรองสืบเนื่องจาก บิลล์ แชงคลีย์ จนถึงยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ

และก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เป็นมหาบุรุษจากสกอตแลนด์ จะพลิกชะตาที่ตกต่ำของเหล่าอสูรแดง ให้กลับมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลระดับโลก จนแซงหน้า ทีมลิเวอร์พูล ในทุกด้านใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

ซึ่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือการพาทีมคว้าแชมป์ลีกแซงหน้า ทีมหงส์แดง ที่เคยครองอันดับหนึ่งด้วยการ

  1. คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 แบบเดิม 18 สมัย
  2. คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19
  3. ปัจจุบันสมัยที่ 20


ทำให้ทีคมลิเวอร์พูล ต้องชูเรื่องความสำเร็จในเวทียุโรปกับสถิติการเป็นทีมจากอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มากที่สุด 5 สมัยแทน




3.ฝ่ายนึงเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัย และอีกฝ่ายเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 20 ครั้ง

ก็จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสโมสรนั้นสืบเนื่องกันมาช้านานแล้ว และรายละเอียดที่นำเสนอนั้นเป็นเพียงแค่โดยสังเขปเท่านั้น

และถึงแม้ว่าสถานการณ์ในยามนี้ของทั้งสองสโมสรจะตกต่ำลงจากอดีตอยู่บ้าง โดยเฉพาะ ทีมลิเวอร์พูล ที่ย่ำแย่อย่างน่าใจหายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่ ทีมยูไนเต็ด ยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับสู่ความสำเร็จ

และก็ใช่ว่าความน่าสนใจของการพบกันระหว่างทั้งสองทีมจะลดน้อยถอยลงไป

เพราะขึ้นชื่อว่าศึก เรด ไฟท์

ก็ย่อมไม่เคยมีใครยอมใครอยู่แล้ว

=============

ศึก Red Fight ในตำนาน

ปี 1977 - นัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ



สำหรับทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โดยเวลานั้น ทีมลิเวอร์พูล หวังคว้า ถ้วยเทรเบิลแชมป์ เนื่องจากได้แชมป์ลีกแล้ว รอคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ หากชนะ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจ่อเข้าชิง ศึกยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรกกับ ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ด้วย

แต่ว่า สจ๊วร์ต เพียร์สัน และ จิมมี่ กรีนฮอฟฟ์ ได้ดับฝันหงส์แดง ด้วยชัยชนะ 2 - 1 ของเหล่าทีมปีศาจแดง

ปี 1983  นัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ



ทีมลิเวอร์พูล ได้ล้างแค้นได้สำเร็จในอีก 6 ปีต่อมา เมื่อเอาชนะ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2 - 1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ จากประตูของอลัน เคนเนดี้ และรอนนี่ วีแลน แม้ว่า นอร์แมน ไวท์ไซด์ จะยิงนำให้ทีมยูไนเต็ดได้ก่อนก็ตาม

นั่นทำให้หงส์แดง คว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็น โทรฟี่ใบสุดท้ายของบ็อบ เพสลีย์ ก่อนจะอำลาวงการ ส่งผ่านงานต่อให้โจ เฟนแกน ศิษย์ บูทรูม รุ่นต่อไปรับช่วงต่อ


ปี 1994  ศึกพรีเมียร์ลีก



ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นกำลังอยู่ในช่วงเริ่มของยุคทอง และเป็นฝ่ายออกนำไปแบบสบายๆ 3 - 0 ที่แอนฟิลด์จากประตูของ 1.สตีฟ บรู๊ซ, 2.ไรอัน กิ๊กส์ และ 3.เดนิส เออร์วิน แต่ ทีมลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของแกรม ซูเนสส์ ไม่ยอมแพ้ไล่ตีเสมอได้แบบปาฏิหารย์ จาก 2 ประตูของ ไนเจล คลัฟ และนีล รัดด็อก ก่อนที่จะเสมอกัน 3-3 เป็นเกมช่วงท้ายๆ ก่อนซูเนสส์จะโดนปลดจากตำแหน่ง

ศึกแดงเดือดที่แสนเงียบเหงา




ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า ว่าทำไมฟุตบอลแดงเดือดฤดูกาลนี้ ในนัดแรกทำไมมันดูเงียบๆ ชอบกล ทั้งๆ ที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ทีมลิเวอร์พูล ที่ทั้งสองทีมคือทีมของมหาชนชาวสยาม ที่มีแฟนบอลมากที่สุดทีมนึง

และถ้าเป็นช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา เวลามีฟุตบอลคู่นี้ทีไร มักจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้แฟนบอลไปร่วมสนุกและนั่งรับชมการถ่ายทอดสดทางทีวีจอยักษ์ส่งตรงมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งก็จะมีทั้ง สาวกอสูรแดง กับ สาวกชาวเดอะค็อป ชวนเพื่อน แฟนหรือครอบครัวไปร่วมกิจกรรมกันอย่างคับคั่ง

ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่แค่ที่เดียว แต่มีหลายที่ที่จัดกิจกรรมแบบนี้รวมทั้งมีการแสดงหรือพากย์บอลสดๆ จากกูรูนักพากย์ชื่อดัง ไม่นับรวมสวนอาหารใหญ่ๆ ตามชานเมืองที่จ้องแย่งตัวนักพากย์ดังๆ มาสร้างความบันเทิงเริงรมย์ให้กับคอบอลทั้งหลาย




โดยที่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพราะตั้งแต่ต้นฤดูกาล ผลงานของทั้งคู่ ไม่ได้สร้างความประทับใจสักเท่าไหร่ เริ่มจากขุนพลปิศาจแดงที่ออกสตาร์ตแย่ที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงเดือนพฤศจิกายน โค้ชหลุยส์ ฟาน ฮัล พาลูกทีมเก็บชัยชนะได้แค่ 3 เกมเท่านั้น ก่อนที่จะมาดีขึ้นหลังจากนั้นด้วยชัยชนะ 6 เกมติด

ในขณะที่ทัพ ทีมหงส์แดงของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เดือนสิงหาคม รวมทุกรายการแพ้ไปถึง 9 นัด และเพิ่งสดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอล ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกต่างหาก แถมผลงานในลีกก็อยู่กลางตารางจนมีสื่อพร้อมใจกันเล่นข่าวว่า บีร็อด นั้นอาจจะถูกปลดในเร็ววัน ยิ่งถ้าแพ้ในแดงเดือดนัดนี้อีกไม่อยากจะคิดสภาพจริง ๆ

และนอกจากนั้น ในแดงเดือดครั้งนี้บรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดแฟนบอลก็หายไปเยอะ อย่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เท่าไหร่ ไม่มี พี่ด็อบบี้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่เจ็บอยู่เพียงคนเดียว





เพียงแต่ว่าทางด้าน ทีมลิเวอร์พูล ไม่มี หม่อมเหยิน หลุยส์ ซัวเรซ ที่ขายให้ ทีมบาร์ซ่าไปแล้ว ซึ่งแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่กำลังบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เองก็โรยราไปตามวัย ไม่ร้อนแรงเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ

ซึ่งยิ่งตัวที่เหลืออยู่อย่าง เกรียนโอ้ นั้นทำให้แฟนหงส์พันธุ์ไทยทุกคนคงพูดได้เต็มปากว่า ไม่มีใครอยากดูเกรียนโอ้เล่นบอลขนาดนั้นหรอก บวกกับผลงานในสนามที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขี้เกียจอีกต่างหาก นี้แหละคือความหมายของการนำเงิน 16 ล้านปอนด์ ไปละลายแม่น้ำเล่น

และอีกประเด็นที่มองว่าน่าตารางบอลจะทำให้แดงเดือดคราวนี้เงียบเหงาเป็นเป่าสากซะเหลือเกิน คงหนีไม่พ้นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจที่ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ข้าวของแพง ไม่ค่อยมีเอกชนหรือหน่วยงานไหน รวมถึงคนทั่วไปอยากจะทุ่มงบประมาณมาจัดอีเวนต์ที่เปรียบเสมือนการทุ่มเงินหลักล้านในคืนเดียวหรอก เก็บเงินไว้เที่ยวช่วงปีใหม่เลยทีเดียวจะดีกว่า






และ ข้อสรุปง่ายๆ ของไฮไลท์ฟุตบอลแดงเดือดที่จะแข่งคือ นั่งดูฟุตบอลนัดนี้อยู่บ้านคนเดียวดีกว่า เพราะหลายครั้งที่หลายคนมักจะเลือกไปดูบอลบิ๊กแมตช์ตามที่ต่างๆ กับเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ลองเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งดูฟุตบอลคู่นี้คนเดียวในห้อง ซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ ของว่างมานั่งกิน

นั้นอาจจะทำให้ได้ชมฟุตบอลในแบบที่ต่างออกไป มีสมาธิในการดูมากขึ้น จะเห็นมิติต่างๆ ของทั้งสองทีมในแง่แท็กติกและการวางแผนของผู้จัดการทีม นอกจากฝีเท้าของนักเตะ

แต่พอบอลจบก็ได้เตรียมนอนหลับพักผ่อนชาร์จไฟเนื่องจากวันพรุ่งนี้ก็ต้องทำงานแล้ว ถ้าออกไปชมเกมข้างนอก หรือตามกิจกรรมแดงเดือดที่จัดขึ้นเหมือนปีก่อนๆ อาจจะมีติดลม งานไหลจนต้องตื่นสายไปทำงานได้เหมือนกัน

แต่ว่าอย่างน้อยถึงในเมืองไทยจะเงียบเหงายังไง แต่อยากให้ชมฟุตบอลคู่นี้ให้ได้ประเด็น ไม่ใช่อะไรมาก เพราะปีนี้มีแนวโน้มสูงว่า

และแม้จะเป็นนัดสุดท้ายที่เราจะได้เห็น พี่เจิด สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงเตะบอลที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในสีเสื้อลิเวอร์พูลครับ

Bank

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข่าวฟุตบอลทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูลหลังจบศึกพรีเมียร์ลีกที่ผ่านมา

ทีมพาเลซพลิกแซงหักปีกหงส์แดง3-1




ซึ่งหลังจากที่วิเคราะห์ผลบอลทีมหงส์แดง ยังโชว์ฟอร์มแย่ๆ ต่อเนื่อง หลังจากที่อุตส่าห์ได้ แลมเบิร์ต ที่ยิงให้ทีมนำก่อนในสองนาทีแรก แต่สุดท้าย ทีมพาเลซ นั้นรัวทีเดียวสามลูกรวดพลิกกลับมาคว้าชัยไป 3-1 ทำให้อันดับไปรั้งที่ 12 ของลีกเรียบร้อย

โดยที่การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014-2015 ที่สนาม เซเฮิร์ส พาร์ค  ทีมคริสตัล พาเลซ ต้อนรับการมาเยือนของ ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล

ซึ่งในนาทีที่ 2 แฟนๆ เจ้าถิ่นต้องถึงกับช็อก หลังจาก ทีมคริสตัล พาเลซ นั้นต้องมาเสียประตูไปก่อน จากจังหวะที่ อดัม ลัลลาน่า เปิดข้ามแนวรับให้ ริคกี้ แลมเบิร์ต หนีการประกบ ก่อนจะพักบอลแล้วซัดเรียดผ่านมือ จูเลี่ยน สเปโรนี่ เข้าไป ทีมลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0

ต่อเนื่องมาถึงนาทีที่ 17 เมื่อทีมพาเลซ ก็ได้เฮบ้างเมื่อมาตามตีเสมอสำเร็จเป็น 1-1 เมื่อ ยานนิค โบลาสซี่ ลากหนีแนวรับ ทีมหงส์แดง ก่อนจะตัดสินใจซัดเต็มข้อด้วยขวาระยะ 25 หลา บอลเรียดหนีมือ ซิมง มินโญเลต์ พุ่งชนเสากระดอนออกมา แต่ลูกยังเข้าทาง ดไวท์ เกล วิ่งมาซ้ำจ่อเข้าไปได้สำเร็จ

ในนาทีที่ 34 ทีมหงส์แดง นั้นเกือบได้ประตูออกนำอีกครั้ง คราวนี้ โจ อัลเลน ครอสจากฝั่งซ้ายไปให้ ริคกี้ แลมเบิร์ต ที่อยู่เสาไกลได้โอกาสขึ้นโขกคนเดียวจ่อๆ แต่โชคไม่ดีบอลดันหลุดกรอบออกไปนิดเดียว

นาทีที่ 36 ทีมพาเลซ นั้นต้องถอดเอา ดาเมี่ยน เดลานี่ย์ ที่ได้รับบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ต้องส่ง เบรเด้ ฮันเกลันด์ ลงมาคุมเกมรับของทีมแทน

และในช่วงท้ายครึ่งแรกไม่มีประเติมเพิ่ม หมดเวลาทั้งสองทีมเสมอกันไปก่อน 1-1

ซึ่งนาทีที่ 48 ทางด้านทีมลิเวอร์พูล นั้นก็มาได้ลุ้นจากฟรีคิกระยะ 30 หลา สตีเว่น เจอร์ราร์ด รับหน้าที่ซัดแต่บอลพุ่งหลุดกรอบออกไปเสียก่อน

ในนาทีที่ 53 ตัวของมาร์ติน สเคอร์เทล มาโดนใบเหลืองเป็นคนแรกของเกม โทษฐานเจ้าตัวเข้าไปดึงแขนของ มารูยาน ชามัคห์ เพื่อเป็นการขัดขวาง

นาทีที่ 61 ฆาบี มานกิโย่ ต้องมารับใบเหลือง หลังเจตนาไปดึง ชามัคห์ ที่หน้าเขตโทษ

และในนาทีที่ 71 ทีมหงส์แดง นั้นได้ตัดสินใจถอด อดัม ลัลลาน่า ออก แล้วส่ง ฟาบิโอ บอรินี่ ลงสนามเพื่อลุ้นทำประตูให้ทีมเพิ่ม

ต่อมาในนาทีที่ 74 ทีมลิเวอร์พูล นั้นต้องถอด โจ อัลเลน ที่มีปัญหาเลือกออกบนศีรษะที่แตกมาจากครึ่งแรก โดยเปลี่ยนเอา เอ็มเร่ ชาน ลงสนามมาช่วยเกมแดนกลางแทน ขณะที่ ทีมพาเลซ ก็ส่งให้ เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ ลงสนามเป็นคนที่สอง โดยเปลี่ยนเอา เจสัน พันเชี่ยน ออกไป

และเมื่อถึงนาทีที่ 78 แฟนบอลทีมคริสตัล พาเลซ ก็ได้เฮกันทั้งสนามเมื่อทีมมาทำประตูที่สองสำเร็จ จากจังหวะที่บอลกำลังลอยกลางอากาศ เดยัน ลอฟเรน ที่ตามประกบ ยานนิค โบลาสซี่ จากริมเส้นไปล้มแล้วบอลตกเข้าหัวพอดีให้ดาวเตะ ทีมพาเลซ เลี้ยงหนีไปได่ ก่อนเจ้าตัวจะตบเข้ากลางให้ โจ เลดลี่ย์ วิ่งมาซัดตรงกลางลอดตัว ซิมง มินโญเลต์ เข้าไป เจ้าถิ่นพลิกขึ้นนำ 2-1

ต่อมาในนาทีที่ 81 สถานการณ์ยังเป็นใจให้เจ้าถิ่นต่อเนื่อง คราวนี้ทีมมาได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษ ไมล์ เยดินัค วิ่งมาปั่นด้วยขวา บอลเลี้ยวข้ามกำแพง ก่อนจะอ้อมหนีมือ มินโญเลต์ เข้าไปอย่างสวยงาม ทีมคริสตัล พาเลซ ได้นำเพิ่มอีกเป็น 3-1

นาทีที่ 86 ทีมพาเลซ ตัดสินใจถอด ยานนิค โบลาสซี่ ที่เกมนีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมออกไปพักท่ามกลางเสียงปรบมือจากแฟนๆ ในสนาม ก่อนจะให้ แบร์รี่ แบนแนน ลงมาเล่นแทน

เข้าสู่ช่วงท้ายเกมทั้งสองทีมเกือบมีลุ้นได้ประตูกันหลายครั้งแต่ก็พลาดไป สุดท้ายหมดเวลา ทีมคริสตัล พาเลซ ได้เปิดบ้านเอาชนะ ทีมลิเวอร์พูล ไปได้สำเร็จผลบอล 3-1

นั่นทำให้ ทีมพาเลซ ได้เก็บเพิ่มเป็น 12 คะแนน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 15 ของตาราง ส่วน ทีมหงส์แดง จากความพ่ายแพ้นัดนี้ทำให้ทีมตกมาอยู่อันดับ 12 โดยมีอยู่แค่ 14 คะแนน เท่านั้น

มาดูรายชื่อผู้เล่น คริสตัล พาเลซ 4-4-1-1 :

  1. จูเลี่ยน สเปโรนี่ 
  2. มาร์ติน เคลลี่
  3. สก็ตต์ แดนน์
  4. ดาเมี่ยน เดลานี่ย์ เปลี่ยนตัว เบรเด้ ฮันเกลันด์ ลงมาในนาทีที่ 36
  5. โจเอล วอร์ด 
  6. เจสัน พันเชี่ยน เปลี่ยนตัว เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ ลงมาในนาทีที่ 76
  7. ไมล์ เยดินัค
  8. โจ เลดลี่ย์
  9. ยานนิค โบลาสซี่ เปลี่ยนตัว แบร์รี่ แบนแนน ลงมาในนาทีที่ 86
  10. มารูยาน ชามัคห์ 
  11. ดไวท์ เกล


ผู้เล่นสำรอง

  1. เวย์น เฮเนสซี่ 
  2. วิลฟรีด ซาฮา 
  3. เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ 
  4. แอนดรูวส์ จอห์นสัน


มาดูรายชื่อผู้เล่น ทีมลิเวอร์พูล 4-2-3-1 :

  1. ซิมง มินโญเลต์ 
  2. ฆาบี มานกิโย่
  3. มาร์ติน สเคอร์เทล
  4. เดยัน ลอฟเรน
  5. เกล็น จอห์นสัน 
  6. โจ อัลเลน เปลี่ยน เอ็มเร่ ชาน ลงมาในนาทีที่ 74
  7. สตีเว่น เจอร์ราร์ด 
  8. ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
  9. ฟิลิปป์ คูตินโญ่
  10. อดัม ลัลลาน่า เปลี่ยน ฟาบิโอ บอรินี่ ลงมาในนาทีที่ 71 
  11. ริคกี้ แลมเบิร์ต


ผู้เล่นสำรอง

  1. แบร๊ด โจนส์ 
  2. โคโล่ ตูเร่ 
  3. อัลแบร์โต้ โมเรโน่ 
  4. ลูคัส เลว่า 
  5. ลาซาร์ มาร์โควิช


กรรมการผู้ตัดสิน : โจนาธาน มอสส์

ติดตามชมดูคลิป ไฮไลท์พรีเมียร์ลีก


เดอะคล็อปป์ได้โผล่ชื่อนั่งแท่นกุนซือหงส์แทนบีร็อด




ซึ่งบีร็อด นั้นคงจะได้เก้าอี้ร้อน หลังจากที่เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรากฏชื่อเตรียมนั่งแท่นบัลลังก์กุนซือใหม่ ทีมหงส์แดง หลังผลงานโคตรแย่ เก็บชัยได้แค่ 2 นัดจาก 12 เกม

และก็ดูเหมือนขาเก้าอี้กุนซือของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สโมสรชั้นนำแห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว เมื่อล่าสุดมีรายงานว่า ทีมหงส์แดง ได้วางตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ของ ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังแห่งเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน เข้ามาเสียบตำแหน่งแทน หลังจากที่ บีร็อด นั้นเพิ่งพาทีมบุกไปแพ้ ทีมคริสตัล พาเลซ ที่ ถิ่นเซลเฮิร์ทส์ พาร์ค 1-3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ซึ่งโปรแกรมบอลทีมหงส์แดง นั้นได้ออกสตาร์ทฤดูกาล 2014 - 2015 ได้อย่างย่ำแย่ เก็บชัยชนะได้เพียง 2 นัดเท่านั้นจากเกมลีก 12 นัดหลังสุด แถม 3 นัดล่าสุดแพ้รวดทั้งหมด รั้งอยู่ที่ 12 ของตาราง แข่ง 12 นัด มี 14 แต้ม

นั่นจึงทำให้แฟนๆ ชาวเดอะ ค็อป และเหล่าบรรดาเกจิลูกหนังวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยล่าสุดมีรายงานเกิดขึ้นว่าทางบอร์ดบริหารของ ทีมลิเวอร์พูล ได้วางแผนทาบทาม คล็อปป์ เข้ามาทำหน้าที่แทน ร็อดเจอร์ส หลังเจ้าตัวนั้นเคยออกมายอมรับว่าสนใจที่จะเข้ามาทำงานใน อังกฤษ

และที่ก่อนหน้านี้ กุนซือใหญ่ทัพ ทีมเสือเหลือง ก็ได้เคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องทำงานในแดนผู้ดีเอาไว้ว่า ผมคิดว่า อังกฤษ เป็นที่เดียวเท่านั้นที่ผมควรไปทำงาน ถัดจาก เยอรมัน ผมคิดว่า อังกฤษ นี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นประเทศเดียวที่ผมรู้จักภาษา ซึ่งการทำงานของผมมันจำเป็นต้องใช้ภาษาอย่างมาก และถ้าเกิดมีใครติดต่อผมมา มันก็น่าที่จะลองคุยดูนะ

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ข่าวฟุตบอลศึกพรีเมียร์ลีกและโปรแกรมบอลพรุ่งนี้

จับปลาหลายมือ?





ทางด้านฟุตบอลในโซนยุโรป หลักๆ ก็มี 3 รายการสำหรับทีมใหญ่ ก็คือ

  1. ศึกบอลลีก
  2. ศึกบอลถ้วย
  3. ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก


แต่ก็มีบางประเทศอย่าง 1.ฝรั่งเศส และ 2.อังกฤษ ที่มี 4 รายการ เริ่มซีซั่นมาได้ 3 เดือนแรก 4 บิ๊กโฟร์ อย่าง


  • ทีมอาร์เซน่อล
  • ทีมเชลซี
  • ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 
  • ทีมลิเวอร์พูล 


ซึ่งก็ไม่ค่อยจะทำผลงานดีสักเท่าไหร่นักในทุกๆ รายการ เว้นก็แต่ ทีมเชลซี ไว้หนึ่งทีม

และโดยเฉพาะในเวทียุโรป ที่ทั้ง ทีมเรือใบ และ ทีมหงส์แดง แชมป์และรองแชมป์ลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ต่างทำให้แฟนบอลพันธุ์แท้ของทั้ง 2 ทีมนั้นกำลังปวดกระเพาะอาหารอยู่ เนื่องจากสถานการณ์รอบแบ่งกลุ่มไม่สู้ดีนัก




เริ่มกันที่ทีมลิเวอร์พูลหลังจากได้ผ่านเข้ามาเล่นชปล ในปีนี้ ก็พลอยทำให้ผลงานทั้งในลีกและบอลถ้วยตกลงไปพอๆ กัน

และเนื่องจากในปีนี้ ทางศึกพรีเมียร์ลีก ได้แบ่งมาให้ฟรีทีวีดูด้วย ก็เลยมีบางสัปดาห์ผมได้ดูฟอร์มทีมจากอังกฤษ ซึ่งก็บอกเลยว่า ป้อแป้ สุดฤทธิ์ ถามว่าพวกเขามีศักยภาพที่จะชนะทุกๆ ทีมในกลุ่มตัวเองหรือไม่ แน่นอนว่า 100 เปอร์เซนต์คือมีแน่ๆ สำหรับโอกาสที่จะชนะ

แต่ว่าคำถามตรงหน้าคือ พวกเขาพร้อมหรือไม่ กับการเก็บ 3 คะแนนใน 6 เกมของรอบแบ่งกลุ่ม พูดได้เลยว่าไม่พร้อมอย่างแรง

และอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวที่ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็คิดเหมือนกัน ซึ่งผมได้นั่งคิดนอนคิดเกี่ยวกับผลงานในแชมเปี้ยนส์ ลีก ของทีมจากอังกฤษ ซึ่งปัญหามันน่าจะเริ่มมาจากจุดๆ เดียวกัน

ซึ่งนั่นก็คือโปรแกรมบอลเตะที่เกริ่นไปในข้างต้น ซึ่งผมมองว่านี่เป็นปัญหาหลัก ที่ทำให้ทีมจากอังกฤษ ไปได้ไม่ถึงฝัน ด้วยการที่พวกเขามีรายการให้เล่นมากกว่าประเทศอื่นหนึ่งรายการ บวกกับยุคสมัยนี้ที่ไม่มีการทิ้งถ้วยไหนๆ เหมือนเป็นเทรนด์ใหม่ ที่ขนาด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้เคยพลีชีพด้วยการส่งเยาวชนลงทั้งทีมเพื่อทิ้งบอลถ้วยจนชาวบ้านชาวช่องด่ามาแล้ว ถึงขั้นบ้าจี้ทำตามอยู่หลายปี ด้วยการเอาจริงในบอลถ้วยตามกระแสของ ทีมแมนฯ ซิตี้ และ ทีมเชลซี ที่มีขนาดทีมใหญ่ สามารถเปลี่ยนผู้เล่นทั้งชุดก็ยังดูเป็นชุดใหญ่ได้มาแล้ว

ก็เหนื่อยสิครับงานนี้ และสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นไม่ได้ดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายการไหนๆ จนทำให้ทีมเกือบพัง แฟนบอลในไทยเกือบปิดเฟซบุ๊คกันแทบไม่ทัน

สังเกตไหมครับว่าศึก แคปิตอล วัน คัพ Big4 แดนผู้ดีเล่นเอาจริงเหมือนกัน แม้จะมีหมุนเอาสำรองลงบางตำแหน่ง และมีถึง 2 ทีมที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย

ซึ่งผมนั้นก็ขอยกตัวอย่างสโมสร ทีมลิเวอร์พูล ที่กุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ประกาศซื้อตัวเพื่อเอาไว้สับเปลี่ยนผู้เล่น ยามลงแข่งในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่เจ้ากรรมดันโชคไม่ค่อยดี จับสลากมาอยู่กับ ทีมเรอัล มาดริด แชมป์เก่า แถมมีทีมสุดอันตรายและประมาทไม่ได้อย่าง บาเซิ่ล อยู่ด้วย ทำให้งานมันดูยากขึ้นเหมือนกัน

โดยที่หลายๆ ฝ่ายอาจจะมองว่าพวกเขา โชคไม่ดีที่ต้องไปอยู่กับทีมที่เหนือกว่าทั้ง ทีมเรอัล มาดริด แชมป์ปีที่แล้ว และแชมป์ 10 สมัย แต่ถ้าเจาะรายละเอียดลึกๆ แล้วพวกเขาไม่ได้แพ้แล้วเล่นดีนี่สิ

และผลบอล 0 - 3 ในถิ่น แอนฟิลด์ ก็ทำให้ใครๆ ก็ต่างโจมตีว่ามาตรฐานระหว่าง ทีมเรอัล มาดริด และ ทีมลิเวอร์พูล มันต่างกันมาก

ซึ่งมันก็จริงอยู่ที่ว่า ทีมราชันชุดขาว มีแนวรุกระดับโหดถึงขั้นทำเด็กร้องไห้ได้ แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็น ทีมหงส์แดง เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ช่วงที่พวกเขาชนะติดต่อกัน 11 นัด เอาฟอร์มแบบนั้นมาเตะเกมดังกล่าว ทีมเรอัล มาดริด อาจจ๋อยกลับบ้านก็ได้



สู้ได้ดีกว่านัดแรก แม้จะแพ้ชุดขาวไป 0 - 1

ซึ่งมันก็ไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้ รวมถึงผลงานรายการอื่นของ ทีมลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ดีเสียด้วยสิ มันเลยทำให้พ่ายพังพาบอย่างที่เห็นผลบอล 0-3 ทั้งๆ ที่มองกันว่า 11 ผู้เล่นตัวจริงเกมดังกล่าว ถือว่าเป็นชุดที่ดีที่สุดของทีมเลยก็ว่าได้ จะขาดก็แต่ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เท่านั้น

และบางคนบอกยังดีที่มันยังไม่ใช่เกมชี้เป็นชี้ตาย ถึง ทีมหงส์แดง แพ้เกมนี้ ก็ยังมีอีก 3 นัดให้แก้ตัว แต่เจ้ากรรมจุดเปลี่ยนมันมาตั้งแต่นัดที่บุกไปพ่าย ทีมบาเซิ่ล 0 - 1 แล้วล่ะ เพราะแน่นอนว่าตามหน้าเสื่อ พวกเขาต้องลุ้นกับยอดทีมจากสวิส เพื่อแย่งตั๋วรอบน็อคเอาต์อีกใบ

แต่ว่าสถานการณ์ คราวนี้มันยิ่งลำบางขึ้นอีกขั้น โชคดีที่ ทีมบาเซิ่ล ดันแพ้ ลูโดโกเร็ตส์ ในเกมที่ 3 ทำให้พวกเขามีแต้มเท่ากันที่ 3 คะแนน ยังได้ลุ้นยาวๆ ใน 3 เกมสุดท้าย แต่การที่จะต้องไปเยือน ถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว เกม 4 คิดในแง่ร้ายไว้ก่อนว่าพวกเขาจะไม่ได้แต้มกลับไป และ ทีมบาเซิ่ล จะชนะ ทีมลูโดโกเร็ตส์ ได้ไม่ยาก

ซึ่งนั่นมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ที่พวกเขาแพ้ ทีมเรอัล มาดริด 0-1 และ ทีมบาเซิ่ล อัดไป 4-0 นำพวกเขา 3 แต้ม เหลืออีก 2 นัด


และในอาทิตย์นี้ พวกเขานั้นต้องไปเจอกับ ทีม เชลซี อีก นั้นทำให้ ตัวบีร็อด ต้องพักตัวหลักมันซะเลย


และนี่ก็กลายเป็นว่า ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก กลายเป็นถ้วยเล็กๆไปแล้วสินะ แล้วหันไปเอาจริงในลีกกับ แคปิตอล วัน คัพ ใช่ป่ะครับ??

อย่าทำเป็นเล่นนะครับ ในทีมสำรองที่มี

  1. โคโล่ ตูเร่
  2. ลูคัส
  3. โจ อัลเลน
  4. เอ็มเร่ ชาน
  5. อดัม ลัลลาน่า
  6. ลาซาร์ มาร์โควิช 
  7. ฟาบิโอ บอรินี่ 


แต่ว่ากลับแพ้ ทีมชุดขาว เพียง 0 - 1 !!!!

ซึ่งวิเคราะห์บอลเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกเลยครับ ตัวผมมั่นใจว่า เพราะรูปเกมบอกได้เลยว่า สู้ไม่ได้ ชัดเจน แต่มองในแง่ดีคือการได้กองหลังที่ยังดูไว้ใจได้อย่าง ตูเร่ ผู้พี่ คอยแก้ขัดเวลาเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ หมายถึงเอาลงเล่นบอลถ้วย อีกคนที่ต้องซูฮกและสามารถหักหน้านักวิจารณ์หลายๆ คนได้ คือฟอร์มของ ซิมง มิโญเล่ต์ ด้วยการที่เพื่อนร่วมทัพหน้าเขา 10 คนปั้นให้ขนาดนี้ ต่อไปความมั่นใจคงมาเต็มเปี่ยม




เกมในนัดนี้พี่เจิดเป็นได้แค่ผู้ชมข้างสนามเท่านั้น


และนอกจากนี้ ตัวของบีร็อด ยังสติแตกถึงขั้นดรอป เจอร์ราร์ด ไว้ข้างสนาม ทั้งๆ ที่เจ้าตัวประกาศอำลาทีมชาติเพื่อจะมาเล่น ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก แม้สถิติเฉลี่ยออกมาจะดูเหมือนว่าทีมไม่มี กัปตันเจิด จะดูผลงานดีกว่าตอนมีอยู่ก็เถอะ มันก็เป็นตรรกะบางอย่างเท่านั้น แต่รูปเกมในสนามสิสำคัญ มี เจิด ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว ถูกมั๊ย แฟนหงส์

แล้วคำถามหลังจากนี้คือ

  • ประการแรก ทีมลิเวอร์พูล เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป. 
  • ประการที่สอง ซึ่งการที่ไม่มี หลุยส์ ซัวเรซ คนเดียว ทำให้ทีมเปลี่ยนได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ. 
  • ประการที่สาม การที่เอานักเตะตัวหลักที่ฟอร์มไม่ดีไปพัก จะได้ผลในเกมกับ ทีมเชลซี หรือไม่. 
  • ประการที่สี่ ในเกมนัดชี้ชะตากับ ทีมบาเซิ่ล ในนัดสุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไร. 
  • ประการที่ห้า ทีมลิเวอร์พูล นั้นจะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายหรือไม่. 
  • ประการที่หก แล้วแชมป์ลีกล่ะ. 
  • ประการที่เจ็ด ทีมนั้นจะยังสามารถเบียดขึ้นไปลุ้นได้อยู่หรือเปล่า.
  • ประการที่สุดท้าย และใครที่จะเข้ามาอุดรอยที่ ซัวเรซ ได้. 


ซึ่งคำถามตามมาเยอะมากๆ

ในทุกสิ่งทุกอย่างจะได้คำตอบในไฮไลท์ฟุตบอลเร็ววันนี้ครับ หากพวกเขายังจับปลาหลายๆ มืออยู่ เน้นทุกถ้วย ไม่ว่าจะ

  • ศึกเกมลีก
  • ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก
  • ศึกแคปิตอล วัน คัพ 
  • ศึกเอฟเอ คัพ 

ซึ่งกำลังจะเตะปีหน้า นั่นจะทำให้พวกเขาพังแน่นอน เพราะหลายๆ ทีมก็พังมาแล้ว จะมาหวังให้เป็นเหมือน ทีมปีศาจแดง ในปี 99 มันก็คนละยุคสมัยกัน ฟุตบอลยุคนี้ทำแบบนั้นได้ยากแล้ว แต่ถ้าพวกเขาเลือกที่จะทิ้งอะไรสักอย่างไป อาจจะทำให้บางอย่างที่เขาถืออยู่ ได้ของที่ล้ำค่ามาก็เป็นได้

โดยจะต้องมาพบเกมกับ ทีมเชลซี วันเสาร์นี้ น่าจะทำให้เห็นอะไรได้หลายอย่างแล้ว สำหรับแนวทางต่อไปของ ร็อดเจอร์ส

และท้ายนี้ ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า มาริโอ บาโลเตลลี่ ยังใช้ประโยชน์ได้อยู่ครับ พี่แกเป็นนักเตะประเภทต้องโอ๋ อย่าไปจวกไปสับเขา แล้วเดี๋ยวจะเล่นดีเอง

และเหตุผลของการดรอป เจอร์ราร์ด มองในแง่ดี อาจจะทำให้เจ้าตัวแผลงฤทธิ์ในเกมวันเสาร์ กู้หน้าจากที่เคยลื่นทำถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก หลุดมือเมื่อปีที่แล้วก็เป็นได้

ซึ่งหากจะมาปิดโอกาสการประสบความสำเร็จของ ทีมลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ ต้องบอกเลยว่าอย่าเพิ่งนะครับ เพราะอย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นทีมที่อันตราย แม้ช่วงนี้จะขาลง แต่ลงก็ต้องมีขึ้น อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกปล่อยและจับอะไร แต่ถ้าจับไว้หมดล่ะก็

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ปืนใหญ่ครองชมค่าตั๋วแพงที่สุดในลีก

พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ปืนใหญ่ครองชมค่าตั๋วแพงที่สุดในลีก




ขายตั๋วหรือขายอะไรกันเนี่ย? ล่าสุดทางสำนักข่าว BBC ได้ออกมาเผยผลสำรวจราคาตั๋วเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลของแต่ละทีมในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ โดยราคาตั๋วที่แพงที่สุดในตอนนี้เป็นของทางด้านทีม "อาร์เซน่อล" โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5,335 บาท และตั๋วที่ถูกสุดเป็นของทีม "นิวคาสเซิ่ล" โดยราคาตั๋วจะอยู่ที่ประมาณ 825 บาท

ซึ่งราคาของตั๋วที่จะเข้าชมศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ในนัดต่างๆ นั้น ทีมที่ครองอันดับราคาตั๋วที่แพงที่สุดก็คือทีม อาร์เซน่อล และเป็นราคาที่เรียกได้ว่า แพงที่สุดใน 20 ทีมของลีก โดยข้อมูลนี้ทางสำนักข่าว BBC ได้ทำการสำรวจข้อมูลสถิติราคาของตั๋ว ซึ่งผลที่ได้ออกมาคือทีมปืนใหญ่ อาร์เซน่อลนั้นมีการจำหน่ายราคาบัตรเข้าชมฟุตบอล ราคาที่สูงที่สุดอยู่ที่ ใบละ 97 ปอนด์ หรือประมาณเป็นงินไทยอยู่ที่ ใบละ 5,335 บาทเลยทีเดียว

และจากการที่ทาง BBC ได้ออกมาเผยข้อมูลล่าสุดนี้ ทำให้พบข้อมูลในอดีตว่าทีมที่ยังมีอันดับการจำหน่ายตั๋วแพงที่สุดก็ยังคงเป็นทีม อาร์เซน่อล เช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะมีการลดราคามาแล้วจากฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่ได้จำหน่ายในราคา 126 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,930 บาท ทั้งยังครองอันดับตั๋วเข้าชมรายปีแพงที่สุด ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 2,013 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 110,000 บาท ส่วนราคาที่ถูกที่สุดนั้นอยู่ที่ 1,014 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 55,770 บาท

กลับกันในขณะที่ สโมสรที่มีราคาตั๋วในแต่ละเกมส์ที่ถูกที่สุดนั้นเป็นของทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งได้จำหน่ายในราคาที่ถูกที่สุด อยู่ที่ใบละ 15 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 825 บาท ส่วนทางด้านของแชมป์เก่าในฤดูกาลที่แล้วอย่างทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เรียกได้ว่าเป็นทีมที่จำหน่ายตั๋วรายปีถูกที่สุด ราคาอยู่ที่ 229 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 12,595 บาท

อันดับรายชื่อ 5 ทีมแรกของศึกพรีเมียร์ลีก ที่มีค่าตั๋วแพงที่สุด

  1. อาร์เซน่อล อยู่ที่ใบละ 97 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,335 บาท
  2. เชลซี อยู่ที่ใบละ 87 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,785 บาท
  3. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อยู่ที่ใบละ 81 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,455 บาท
  4. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด อยู่ที่ใบละ 75 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,125 บาท
  5. ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส อยู่ที่ใบละ 70 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,850 บาท

เห็นราคาตั๋วแบบนี้แล้วแฟนบอลชาวไทยอย่างเราๆ คงจะคิดว่า ไปดูที่ลานเบียร์ดีกว่ามั้ง ประหยัดตังไปได้หลายบาทเลยทีเดียว แต่ถ้าหากใครที่อยากได้รับความมันส์แบบติดขอบสนามก็คงต้องขอบอกว่า โชคดีเดินทางปลอดภัย ซื้อของมาฝากด้วยนะครับ ฮ่าๆๆ สำหรับวันนี้ก็ต้องขอลาไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ
ติดตามข่าวฟุตบอล วิเคราะห์ผลบอล ไฮไลท์พรีเมียร์ลีก ตารางบอล พรีเมียร์ลีก ผลบอล เพิ่มเติมได้ที่นี่

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สรุปผลศึกพรีเมียร์ลีกนัดที่ 8 หลังเบรกทีมชาติ

สรุปผลศึกพรีเมียร์ลีกนัดที่ 8 หลังเบรกทีมชาติ




ดูเหมือนกับว่าช่วงต้นเดือน กันยายน ที่ผ่านมาแหละครับ ตอนนั้นก็มี ศึกฟีฟ่าเดย์ และฟุตบอล ยูโร 2016 ในรอบคัดเลือกจนทำให้คอบอลต้องห่างหายฟุตบอลลีกไปประมาณ 2 สัปดาห์

ก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตที่ดูงงๆ แม้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แฟนบอลชาวไทยจะมีฟุตบอล โตโยต้า ลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศ ตามด้วย โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก นัดที่ 33 คัมแบ็กกลับมาเตะเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน ก็ตาม

ซึ่งในสุดสัปดาห์นี้ ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุด จึงจะ การันตี ความมันส์แน่ๆ ครับ เพราะเชื่อได้ว่า ไม่ใช่เฉพาะแฟนบอลที่ วอนท์ แต่นักเตะที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดภารกิจรับใช้ทีมชาติก็น่าจะ วอนท์ เช่นกัน

มาเริ่มที่คู่แรก ทีมแมน ฯ ซิตี้ โชคดีมากที่ได้ เปิดหัวเวลา 18.45 นาฬิกา รับมือ ทีมสเปอร์ส และมีโอกาสกดดัน พร้อมลดช่องว่าง 6 แต้ม จากจ่าฝูง ทีมเชลซี ให้แคบลง

ทีมเชลซี จะเตะเวลาปกติ 3 ทุ่ม ไปเยือน ทีมคริสตัล พาเลซ ที่พวกเค้าเคยพลิกล็อกป่นปี้แพ้มา 0 - 1 เมื่อ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ในช่วง หนีตาย และสามารถสร้างฟอร์มได้อย่างปาฏิหาริย์





นายหายเหนื่อยหรือยัง ราฮีม

และก็เป็นที่แน่นอนครับว่า คงไม่มีใครคาดหวังว่า ทีมเชลซี ที่นำโดยดาวซัลโว 9 ประตู 7 นัด ดิเอโก้ คอสต้า จะทำแต้มหล่น แต่หากทีมซิตี้ ชนะเพื่อ กดดัน ได้ก่อน อะไรย่อมเกิดขึ้นได้ครับ

ทีมลิเวอร์พูล มีประเด็นน่าสนใจนอกเหนือจากหัวข้อ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง จะหายเหนื่อยหรือยัง? อยู่ตรงที่ ณ เวลานี้ของซีซั่นก่อนพวกเค้าเป็น จ่าฝูง เก็บ 16 คะแนน ขณะที่ตอนนี้มี 10 แต้ม อยู่อันดับ 9

ซึ่งอย่างไรก็ดี แม้หลายคนจะพูดถึง หลุยส์ ซัวเรซ ทว่าความจริงก็คือ ต้นซีซั่นก่อนกระทั่งได้ขึ้นจ่าฝูง ลิเวอร์พูลเล่นโดยไม่มีหัวหอกอุรุกวัยที่ติดแบนจากอีก คดีกัด

เพราะฉะนั้นในช่วงพักเบรก ครั้งนี้ที่ผมได้เคยเขียนแล้วว่า “ตัวหลัก” ของลิเวอร์พูลอยู่กับสโมสรมากกว่าใครให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ได้ซ้อม

ซึ่งมันอาจจะเป็นจุดเปลี่ยน ซีซั่นนี้ของหงส์แดงได้เหมือนกัน ?




นักบุญฟอร์มสะเด่านี่ ฝีมือผมล้วนๆนะคร้าบบบ


และทีมลิเวอร์พูล ได้มีคิวเยือน ทีมควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ในวัน “ซูเปอร์ซันเดย์” ครับ

ถ้าหากจะพูดถึง ทีมคิวพีอาร์ ก็ต้องกล่าวถึงกุนซือ แฮร์รี่ เร้ดแนปป์ ว่าเป็นหนึ่งในรายชื่อเสียวๆ จะโดนเด้งจากตำแหน่ง

ส่วนในเรื่องคนอื่นๆ ก็จะมี อลัน พาร์ดิว ที่สุ่มเสี่ยงตั้งแต่ยังไม่เปิดฤดูกาล แซม อัลลาร์ไดซ์ ก็ไม่เคยเป็นขวัญใจในอัพตัน ปาร์ค หลังมีเพียง นีล วอร์น็อค เป็นกุนซือใหม่ให้พาเลซเพียงคนเดียวที่ผ่านมา

ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ที่กำลังจะมาถึง คือ เดือนที่มี สถิติ การแยกทางระหว่างกุนซือกับสโมสรสูงสุดนะครับ

ซึ่งประเด็นอื่นๆ ประจำสัปดาห์นี้ก็มี เช่น โรนัลด์ คูมันน์ ตกเป็นข่าวกับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ หลังประสบความสำเร็จแบบหักปากกาเซียนด้วยการพาเซาธ์แฮมป์ตันติดลมบน

โดยตรงข้ามกับ ทีมที่ไม่น่ามีปัญหา คือ “ท็อปไฟว์” ในปีก่อน ทีมเอฟเวอร์ตัน ในอันดับ 17 ที่ยิงไปถึง 13 ประตู น้อยกว่าแค่ทีมเชลซี และทีมแมนฯซิตี้

แต่ว่าก็ต้องเสียไปถึง 16 ประตู ผลแย่สุดในพรีเมียร์ลีกอันเป็นที่มาของอันดับรูดมหาราชทั้งที่เล่นได้ดี สนุก แต่ดันมาพลาดเสียประตูง่ายไปหน่อย




ทีมทอฟฟี่กับสไตล์การเล่น เกมรุกช่างมันส์ เกมรับช่างแ_่ง


ซึ่งทางโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ จึงต้องมี “โจทย์” ชัดเจนที่สุดในการปรับ “เกมรับ” เพราะหากทำได้ และทีมยังยิงได้เยอะแบบนี้ ทุกอย่างน่าจะกลับมาสดใสได้ในเร็ววัน

และปิดท้ายให้ติดตามพรีเมียร์ลีก นัดที่ 8 กันที่ “มันเดย์ ไนท์” ทีมเวสต์บรอม – ทีมแมนฯยูไนเต็ด ที่ทีมปิศาจแดงทะยานขึ้นอันดับ 4 แล้วในเวลานี้

แต่ก็ยังเหลืออีก 2 โจทย์ คือ เกมรับ และพลังสังหารของ ราดาเมล ฟัลเกา ที่หากขยับระดับความร้อนแรงกว่า 1 ประตู จาก 4 นัด มาสูสีผลงาน จี๊ดจ๊าด อังเคล ดิ มาเรีย ได้เมื่อไหร่


และก็ห้ามพลาด! กับหลากหลายประเด็นไฮไลท์พรีเมียร์ลีกสัปดาห์นี้ นัดที่ 8 นะครับ


ที่มา: http://sport.sanook.com/107525/

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก: มาดูที่สุดของศึกพรีเมียร์ลีก 7 นัดแรกกันดีกว่า

วิเคราะห์บอลพรุ่งนี้ ที่สุดของที่สุดในช่วงเริ่มออกสตาร์ต




ในเกมส์ฟุตบอลสุดสัปดาห์นี้บรรยากาศของพรีเมียร์ลีกจะกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ หลังจากที่ได้พักยาวมาถึงสองอาทิตย์เพื่อหลีกทางให้โปรแกรมบอลทีมชาติ โดยแต่ละทีมจะต้องลงมาห้ำหั่นกันอีกครั้ง เพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อผ่านพ้นอีก 31 นัดต่อจากนี้

และสำหรับการขับเคี่ยวกันในช่วงออกสตาร์ตของฤดูกาลกาลนี้ก็ได้ผ่านไปแล้ว 7 นัดแรก ซึ่งก็พอจะทำให้มองเห็นภาพได้คร่าวๆ ว่าหน้าตาของฤดูกาลนี้น่าจะออกมาเป็นยังไงบ้าง และหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้หยิบประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเป็นที่สุดๆ จากช่วงเริ่มต้นฤดูกาลนี้มาให้ดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง





1.นักเตะที่เด่นที่สุด: ดิเอโก้ คอสต้า


สำหรับการเสริมทัพของเชลซีในซัมเมอร์นี้ดูจะลงล็อกไปหมด ทั้ง 1.ติโบต์ กูร์กตัวส์, 2.เชส ฟาเบรกาส และ 3.ดิเอโก้ คอสต้า ที่ต่างก็ย้ายมาและโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น และเป็นกำลังสำคัญในการพาสิงโตสีครามทะยานขึ้นจ่าฝูงแบบนำโด่ง

ซึ่งตัวของคอสต้าคือคนที่เข้ามาอุดช่องโหว่ หรือเข้ามาแก้ปัญหาที่เคยเจอจากฤดูกาลก่อน ให้กับทีมของ โจเซ่ มูรินโญ่ ได้อย่างแท้จริง ด้วยการทำประตูได้อย่างต่อเนื่องและเป็นกอบเป็นกำถึง 9 ลูก เข้าไปแล้วเฉพาะในลีก และผลงานของเขาก็โดดเด่นเกินหน้าเกินตาดาวเตะทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่คนไหนๆ จนถึงตอนนี้





2.เป็นเกมที่หักมุมที่สุด :  ทีมเลสเตอร์ 5-3 ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ซึ่งหลังจากชนะนัดแรกในฤดูกาลได้ในเกมที่ 4 ด้วยการเปิดบ้านไล่ทุบ ทีมควีนส์ปาร์ค 4-0 ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทำท่าเหมือนจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้

และเมื่อยกพลไปเยือนอีกหนึ่งน้องใหม่อย่าง ทีมเลสเตอร์ในเกมถัดไป ทีมปิศาจแดงที่คับคั่งด้วยซูเปอร์สตาร์ทั้งเก่าและใหม่ ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างจี๊ดจ๊าด และขึ้นนำผลบอล 2-0 อย่างรวดเร็ว ก่อนขยับหนีไปเป็น 3-1 อีกก่อนที่ทุกอย่างจะพลิกผัน เมื่อเสียจุดโทษแบบโชคร้ายโดนไล่มา และโดนตีเสมออีกอย่างรวดเร็ว

โดยหลังจากนั้นทุกอย่างก็ปั่นป่วนไปหมดสำหรับผีแดง ก่อนจะโดนแซงขึ้นนำ 4-3 และเหลือผู้เล่น 10 คน ในช่วงท้ายเกมจนโดนประตูที่ 5 ปิดท้าย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 853 นัดที่ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ดลงเตะพรีเมียร์ลีกมา ที่ปล่อยให้การขึ้นนำ 2 ประตู กลับมาเป็นความพ่ายแพ้ได้





3.เป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ที่สุด: ทีมเซาธ์แฮมป์ตัน


ทีมเซาธ์แฮมป์ตันได้เสียดาวดังของทีมไปเป็นกระบิในช่วงซัมเมอร์ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการทีม และทำท่าว่าจะได้รับผลกระทบเต็มๆ

โดยหลังจากที่ โรนัลด์ คูมัน ได้นำทีมออกสตาร์ตนัดแรกด้วยความพ่ายแพ้ และในนัดต่อมาก็ทำได้แค่เสมอ

แต่เมื่อได้นักเตะใหม่อย่างกราเซียโน่ เปลเล่ เริ่มที่จะติดเครื่องได้ในการเข้ามาแทนที่ ริคกี้ แลมเบิร์ต ขณะที่ ดูซาน ทาดิช ก็ได้เข้ามารับหน้าที่สร้างสรรค์เกมแทน อดัม ลัลลาน่า ที่จากไป ทีมนักบุญก็เริ่มต้นโชว์ฟอร์มได้อย่างไหลลื่นเหมือนเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม จนทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 3 ของตารางแล้ว หลังชนะติดต่อกันถึง 4 นัด ก่อนจะเพิ่งแพ้อีกครั้งในเกมล่าสุด





4.เป็นทีมที่เดี้ยงเยอะที่สุด: ทีมอาร์เซนอล


ซึ่งทางด้านของ แชด ฟอร์ไซธ์ สตาฟฟ์โค้ชด้านฟิตเนสของเยอรมัน อำลาทีมแชมป์โลกมาร่วมงานกับทีมอาร์เซนอลในซัมเมอร์นี้

และกลับกลายเป็นว่าทีมปืนใหญ่ยังถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการบาดเจ็บของนักเตะเยอะเหมือนเดิม หรืออาจจะเยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ซึ่งเมื่อดาวดังหลายคนเดี้ยงกันตั้งแต่ต้นซีซั่น จนต้องพักยาวบ้างสั้นบ้างมาเกือบครบตัวหลักๆ แล้ว และอาจจะมีส่วนทำให้ผลงานของทีมไม่เปรี้ยงอย่างที่คาดหวังไว้ และยังอยู่เพียงอันดับ 8 ของตารางเท่านั้น จากการชนะแค่ 2 จาก 7 นัดแรก





5.เป็นซีนที่ดราม่าที่สุด: เมื่อแฟรงค์ แลมพาร์ด ยิงประตูทีมเชลซี


ทีมเชลซีชนะถึง 6 จาก 7 นัดแรกในฤดูกาลนี้ โดยเกมเดียวที่เสมอคือนัดที่ไปเยือน ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้

นัดนี้ทีมสิงห์ครามเกือบจะเอาชนะ ทีมแชมป์เก่าได้อยู่แล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธโอกาสนั้นโดย แฟรงค์ แลมพาร์ด นักเตะที่เคยสร้างสถิติไว้กับทีมมากมาย ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกไปในซัมเมอร์นี้

โดยมิดฟิลด์วัย 36 ปี ได้ถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองให้ ทีมเรือใบสีฟ้า ซึ่งยืมตัวเขามาจาก ทีมนิวยอร์ก ซิตี้ ต้นสังกัดใหม่ในเมเจอร์ลีก และได้ยิงประตูตีเสมอทีมเก่าของตัวเองได้ก่อนหมดเวลา 5 นาที และเป็นไปตามธรรมเนียที่เจ้าตัวจะไม่แสดงความดีใจออกมา

โดยท่านสามารถติดตามชม ไฮไลท์พรีเมียร์ลีก ไฮไลท์ฟุตบอล เพิ่มเติมได้เลย


ที่มา: http://sport.sanook.com/107517/

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทีมไอร์แลนด์ฮึดไล่เยอรมันผลบอล 1 - 1 ในศึก ยูโร 2016

ทีมไอร์แลนด์ฮึดไล่เยอรมันผลบอล 1 - 1



นัดโปรแกรมบอลที่ผ่านมา ทีมอินทรีเหล็ก เหมือนจะมีอาการแผ่วปลาย ถึงแม้ว่าจะได้ โทนี่ โครส ยิงประตูให้ทีมนำก่อน นาทีที่ 71 แต่โดน จอห์น โอเชซัดประตูให้ ทีมยักษ์เขียว ไล่เจ๊า 1-1 ในช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย แบ่งแต้มกันไป ในศึกยูโร 2016 รอบคัดเลือก กลุ่มดี เมื่อ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา

และสำหรับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2016 ในรอบคัดเลือก กลุ่มดี แข่งขันคืนวันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2557 เป็นการพบกันระหว่าง "ทีมอินทรีเหล็ก" ทีมชาติเยอรมัน แข่งไปแล้ว 2 นัด มี 3 คะแนน รั้งอันดับ 4 ของกลุ่ม เปิดสนาม เฟลตินส์ อารีน่า รับการมาเยือนของ ยักษ์เขียว ทีมชาติไอร์แลนด์ ทีมอันดับ 2 มีอยู่ 6 คะแนนเต็ม จากการลงสนาม 2 นัด

วิเคราะห์ผลบอล เริ่มเกมมาถึงนาทีที่ 5 เยอรมัน เกือบได้ประตูออกนำ มัทธีอัส กินเทอร์ ง้างเท้าวอลเลย์ด้วยขวาระยะกว่า 25 หลา บอลพุ่งแหวกอากาศย้อยไปชนคาน ก่อนที่แนวรับทีมเยือนจะเคลียร์ทิ้ง

นาทีที่ 14 ทีมเยอรมัน มีโอกาสอีกครั้ง โทนี่ โครส เปิดฟรีคิกเข้าเขตโทษให้ โธมัส มุลเลอร์ โหม่งชงต่อให้กับ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ขึ่นโหม่งจากระยะ 7 หลา แต่บอลหลุดกรอบ

นาทีที่ 26 เกมรับของ ทีมไอร์แลนด์ ยังเล่นได้อย่างเหนียวแน่น หาช่องเจาะได้ยาก โทนี่ โครส เลยจัดการส่องไกลจากหน้าเขตโทษ แต่บอลโด่งข้ามคาน

นาทีที่ 40 โอกาสลุ้นของ ทีมเยอรมัน ช่วงท้ายครึ่งแรก โทนี่ โครส เปิดฟรีคิกจากฝั่งขวาโค้งเข้าเขตโทษ เอริค ดวร์ม ได้โหม่ง บอลเปลี่ยนทางข้ามคานไปนิดเดียว

ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก โธมัส มุลเลอร์ จ่ายทะลุช่องให้ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ หลุดเข้าไปซัดมุมแคบ แต่ไปติดเซฟ เดวิด ฟอร์ด ทำให้หมดครึ่งแรก ยังเสมอกันอยู่ 0-0

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง ทีมเยอรมัน ปรับทัพ ส่ง ลูคัส โพดอลสกี้ ลงมาเสริมเกมรุก แทนที่ มัทธีอัส กินเทอร์

นาทีที่ 49 โพดอลสกี้ ที่เพิ่งถูกส่งลงสนาม เกือบแผลงฤทธิ์ เมื่อลากบอลจากกลางสนามเข้าไปยิงด้วยซ้ายระยะร่วม 30 หลา บอลแฉลบขาแนวรับทีมเยือนเกือบเสียบมุม เดวิด ฟอร์ด ต้องออกแรงปัดออกหลัง

นาทีที่ 54 ทีมไอร์แลนด์ จำเป็นต้องเปลี่ยน เกล็นน์ วีแลน ออกหลังโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ส่ง เจฟฟรี่ย์ เฮนดริค ลงสนามแทน

น.71 เยอรมัน เปิดเกมบุกหนักเป็นพายุ กระทั่งมาประสบผลสำเร็จ ได้ประตูผลบอลขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ โทนี่ โครส ได้บอลหน้าเขตโทษ ก่อนสบช่องสับไกด้วยขวา 22 หลา บอลพุ่งเสียบโคนเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด

นาทีที่ 80 ทีมอินทรีเหล็ก พลาดโอกาสได้ประตูที่สองอย่างน่าเสียดาย โธมัส มุลเลอร์ ไหลบอลทะลุช่องให้ มาริโอ เกิทเซ่ หลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้า แต่ยิงไปติดบล็อก เดวิด ฟอร์ด ออกหลัง

ในนาทีที่ 85 ทีมไอร์แลนด์ ที่แม้เป็นรองแทบทั้งเกม เกือบได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ เจมส์ แม็คคลีน เปิดบอลเรียดจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษให้ เวสลี่ย์ ฮูลาแฮน กองหน้าสำรอง แปด้วยซ้ายเน้นๆ แค่ 6 หลา แต่โดน เอริค ดวร์ม สไลด์ตัวบล็อกได้ทัน

ในช่วง 90 + 4 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาทีสุดท้าย ทีมยักษ์เขียว ฮืดสู้เฮือกสุดท้าย จนมาได้ประตูตีเสมอ 1-1 เวสลี่ย์ ฮูลาแฮน เปิดบอลข้ามไปที่เสาสองให้ เจมส์ แม็คคลีน ตวัดกลับเข้ากลางให้ จอห์น โอเช เข้าชาร์จจ่อๆ บอลเปลี่ยนทางเสียบมุม

ทำให้จบเกม เยอรมัน ทำได้แค่เสมอกับ ไอร์แลนด์ 0 - 0 แบ่งไปทีมละ 1 คะแนน ทำให้ ทีมอินทรีเหล็ก มีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ยังรั้งอันดับ 4 ของกลุ่ม ในขณะที่ ทีมยักษ์เขียว ยังคงอันดับ 2 มีเพิ่มเป็น 7 คะแนน

มาดูรายชื่อผู้เล่น ทีมชาติเยอรมัน
  1. มานูเอล นอยเออร์
  2. อันโตนิโอ รูดิเกอร์
  3. เยโรม บัวเต็ง
  4. มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์
  5. เอริค ดวร์ม
  6. มัทธีอัส กินเทอร์ เปลี่ยน ลูคัส โพดอลสกี้ ลงในนาทีที่ 46
  7. โทนี่ โครส
  8. คาริม เบลลาราบี้ เปลี่ยนตัวให้ เเซบาสเตียน ลงนาทีที่ รูดี้ นาทีที่ 87
  9. มาริโอ เกิทเซ่
  10. ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ (มักซ์ ครูส น.70)
  11. โธมัส มุลเลอร์


รายชื่อตัวสำรองไม่ได้ใช้
  • โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์
  • รอน โรเบิร์ต ซีกเลอร์
  • รอน โรเบิร์ต ซีกเลอร์


รายชื่อผู้เล่น ทีมชาติไอร์แลนด์
  1. เดวิด ฟอร์ด
  2. เดวิด เมย์เลอร์
  3. จอห์น โอเช
  4. มาร์ค วิลสัน
  5. สตีเฟ่น วอร์ด
  6. ไอเดน แม็คเกียดี้
  7. สตีเฟ่น ควินน์ เปลี่ยนตัวให้ เวสลี่ย์ ฮูลาแฮน นาทีที่ 76
  8. เกล็นน์ วีแลน เปลี่ยนตัวให้ เจฟฟรี่ย์ เฮนดริค นาทีที่ 54
  9. เจมส์ แม็คคลีน
  10. โจนาธาน วอลเตอร์ส
  11. ร็อบบี้ คีน  เปลี่ยนตัว ดาร์รอน กิ๊บสัน นาทีที่ 63


รายชื่อสำรองที่ไม่ได้ใช้
  • ร็อบ เอลเลียต
  • คีแรน เวสต์วู้ด
  • เคียแรน คลาร์ก
  • อเล็กซ์ เพียร์ซ
  • แอนโธนี่ พิลคิงตัน
  • ร็อบบี้ เบรดี้
  • เชน ลอง
  • แอนโธนี่ สโตคส์
  • เควิน ดอยล์


กรรมการผู้ตัดสิน : ดาเมียร์ สโกมิน่า (สโลวิเนีย)

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลีกอิตาเลี่ยนลงดาบแบนเปาทำฉาว แบน 2 เกม


ล่าสุด!!  ลีกอิตาเลี่ยน ได้งัดไม้แข็งลงดาบ จานลูก้า ร็อคคี่ ห้ามทำหน้าที่ 2 นัด หลังถูกวิจารณ์ยับจากการทำหน้าที่เกมบิ๊กแมตช์คู่ ยูเว่ เฉือนชนะ หมาป่าโรม ผลบอล 3-2 เมื่อ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา

โดยหลังจากที่ สื่อลูกหนังของประเทศฟุตบอลอิตาลี ได้ออกมาเปิดเผยว่าฝ่ายจัดการแข่งขัน กัลโช่ เซเรีย อา เตรียมลงดาบ จานลูก้า ร็อคคี่ ผู้ตัดสินจอมฉาว ด้วยการสั่งห้ามทำหน้าที่คาบนกหวีดเป็นจำนวน 2 เกม หลัง "สิงห์เชิ๊ตดำ" รายนี้ ถูกวิจารณ์จนหูชา จากความผิดพลาดที่ตัวเขาก่อขึ้นในเกมซูเปอร์บิ๊กแมตช์ที่ ยูเวนตุส เปิดบ้านเอาชนะ อาแอส โรม่า 3 - 2 เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา

ซึ่งจากรายงานจากสื่อตีบทสัมภาษณ์ของ ลูก้า มาเรลลี่ อดีตผู้ตัดสินที่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สมาคมผู้ตัดสินอิตาลี ทำเรื่องนี้ให้ไม่โปร่งใส พวกเขาไม่ยอมออกมาแสดงความเห็นใดๆ เลย ข่าวเรื่องแบน ร็อคคี่ 2 เกม ถูกพูดถึงในวงในเท่านั้น ในความเห็นของผม ผู้ตัดสินที่ควรถูกแบน จะต้องมาจากการทำผิดพลาดมหันต์ อย่างให้ฟรีคิก ทั้งที่เป็นการฟาวล์ในจุดโทษ หรืออะไรทำนองนั้น แต่การแบน ร็อคคี่ หลังจากเกมในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นอะไรที่บ้ามากๆ

และสำหรับ ร็อคคี่ ได้ถูกวิจารณ์วิเคราะห์ผลบอลหนาหู หลังเป่าให้จุดโทษกับทีม "ม้าลาย" 2 ครั้งในเกมดังกล่าว ทั้งที่จากภาพช้าเผยให้เห็นว่า เป็นการทำฟาวล์นอกกรอบเขตโทษ อีกทั้งผิดพลาดในจังหวะยิงประตูชัยของ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่ยิงเข้าประตูไป ทั้งที่ อาร์ตูโร่ วิดัล ยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ขวางการมองเห็นของ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ นายทวารของ "หมาป่าเหลือง-แดง"

ที่มา: http://sport.sanook.com/105981/

วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิพากษ์วิเคราะห์ผลบอลสไตล์ รอย คีน

วิพากษ์วิจารณ์สไตล์ รอย คีน





สำหรับหน้าข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์อังกฤษ ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คงไม่มีประเด็นไหนชิงพื้นที่สื่อได้มากเท่ากับเนื้อหาในหนังสืออัตชีวประวัติเล่มที่สองในชีวิตของ รอย คีน อดีตกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ถูกนำออกมาเผยแพร่ให้ได้ชิมลางกันเป็นน้ำจิ้ม ก่อนที่หนังสือที่ชื่อว่า The Second Half ของเขาจะวางขายอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีนี้

ตัวของรอยคีน 43 ปี โดยที่ในปัจจุบันนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยโค้ชของทีมชาติไอร์แลนด์และ ทีมแอสตัน วิลล่า ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็น คนโผงผาง และ อารมณ์ร้อน มาแต่ไหนแต่ไร จนทำให้เขาต้องแยกทางกับปิศาจแดงแบบจบไม่สวยในปี 2005 หลังจากที่ได้ย้ายมาร่วมทีมตั้งแต่ปี 1993 และเป็นกำลังสำคัญของทีมมาตลอด รวมถึงได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก เอริก คันโตน่า ด้วย

สำหรับเนื้อหาเด็ด ๆ ในหนังสือฉบับนี้ของคีนคงหนีไม่พ้นการแฉวิเคราะห์บอลและดับเครื่องชนทั้งอดีตกุนซืออย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อดีตเพื่อนรวมทีม และนี่คือส่วนหนึ่งของเนื้อหาแสบๆ คันๆ ที่มาจากมุมมองและความเห็นของคีโน่


รอย กล่าวถึง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน




ถ้าหากเขาทำดีด้วย ผมจะคิดทันทีว่า นี่ต้องเป็นเรื่องของผลประโยชน์แน่ ซึ่งเขากระหายความสำเร็จและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร การไม่อ่อนโยนกับใครคือจุดเด่นของเขา ทีมแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ใหญ่กว่าทีมน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์มาก แต่ความเย็นชาของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ในฐานะผู้จัดการทีมแล้ว ผมอยากเอาความอ่อนโยนของไบรอัน คลัฟกับความเฉียบขาดของเฟอร์กูสันมาผสมกัน แต่แน่นอนว่าต้องใส่ตัวตนของผมลงไปด้วยนะ



รอย กล่าวถึง ทีมคลาสออฟ 92



สำหรับทีมฟุตบอลชุดคลาสออฟ 92 นั้นเป็นนักเตะที่ดี แต่บทบาทของพวกเขาที่มีต่อสโมสรถูกยกยอจนเกินจริงไปหน่อย โดยคลาสออฟ 92 ดูเหมือนจะมีชื่อเสียงเฉพาะตัว กลายเป็นเหมือนยี่ห้อสินค้า เหมือนกับเป็นอีกทีมหนึ่งในทีมของเรา และพวกเขาก็เหมือนจะชอบซะด้วย แต่เราทั้งหมดต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน เราทั้งหมดต่างก็มีความกระหายเหมือนกัน





รอย กล่าวถึง พอล สโคลส์




ด้านของสโคลซี่เป็นสุดยอดนักเตะจริงๆ แต่ผมไม่ค่อยปลื้มกับภาพลักษณ์ความเป็นคนที่แสนจะติดดินของเขาเท่าไหร่นัก เขามีด้านอื่นๆ อีกเยอะ แต่ทุกคนดูเหมือนจะคิดว่าเขายังอยู่แฟลตของรัฐบาลอยู่เลยมั้ง


รอย กล่าวถึง ปีเตอร์ ชไมเคิล




ตัวผมเองเคยมีเรื่องกับ ปีเตอร์ ตอนที่ได้ออกทัวร์ปรีซีซั่นเมื่อปี 1998 คิดว่าน่าจะเป็นที่ประเทศฮ่องกงนะ ความเมาก็มีส่วนแหละ เขาบอกว่า ฉันเริ่มเบื่อนายเต็มทีแล้ว เราต้องมาเคลียร์กันซักหน่อย

ผมก็เลยบอกว่า ได้เลย แล้วเราก็ซัดกันนัว ผมตื่นมาวันรุ่งขึ้นแล้วจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก รู้แต่ว่ามือผมช้ำแล้วนิ้วก็ซ้น

ตอนนั้นเจ้านายด่าเราเละ ตอนที่อยู่บนรถบัส แล้วก็มีคนพูดเรื่องที่ผมกับปีเตอร์ทะเลาะกันที่โรงแรมให้ฟัง ตอนนั้นนิคกี้ บัตต์บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปีเตอร์คว้าคอผมแล้วผมก็เฮดบัตต์เขา หลังจากนั้นเราก็ชุลมุนกันอยู่นาน



รอย กล่าวเรื่องการไม่ตรวจ ยาโด๊ปของ ริโอ เฟอร์ดินานด์




ซึ่งเขาเองนั้นก็ได้รับผลเสียจากเรื่องนี้และทีมก็เช่นกัน ถ้าผมเป็นเขา และหมอบอกว่าผมต้องไปตรวจโด๊ป ผมก็คงจะไปตรวจ มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่เราจะลืมกันได้ง่ายๆ

และมันไม่ใช่การไปรับจดหมายที่ไปรษณีย์ หรือลืมเอารองเท้ามา

ซึ่งในตอนที่หมอบอกว่าคุณต้องไปตรวจโด๊ปนะ มันไม่ใช่เรื่องที่ทำกันอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังมีบางคนขี้ลืมได้อย่างเหลือเชื่อ

ตัวผมไม่ได้มองว่าริโอมีเหตุผลอะไรซ่อนเร้นนะ ผมคิดว่าเขาลืมจริงๆ และเราก็ต้องชดใช้ เขาเป็นนักเตะที่เก่งมากคนหนึ่งและเราก็ขาดเขาไป โดยเฉพาะในครึ่งหลังของฤดูกาลตอนที่การขับเคี่ยวเป็นไปอย่างเข้มข้น



รอย กล่าวถึง คริสติอาโน่ โรนัลโด้




ในนัดที่เราไปเตะกับสปอร์ติ้ง ลิสบอนเพื่อฉลองเปิดสนามศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกใหม่ของพวกเขา ผมได้เห็นว่าโรนัลโด้เล่นได้แจ๋วแค่ไหนในวันนั้น เขาต้องดวลกับจอห์น โอเชีย และทำเอาเชียซี่แทบต้องขอยาแก้ปวดหัวกินในช่วงพักครึ่ง เพราะตาลายกับลีลาการสับขาหลอกของเขา

หลังจากที่สโมสรบรรลุข้อตกลงซื้อขายเขาเลยหลังเกมนั้น เรายังอำกันอยู่เรื่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วเชียซี่คือคนที่ทำให้ดีลนี้เกิดขึ้น ด้วยการเล่นได้ห่วยแตกมากในเกมนั้น

ส่วนตัวผมชอบโรนัลโด้ตั้งแต่แรกเลย เขามีความมุ่งมั่นและทัศนคติที่ดี พอได้เห็นเขาซ้อมแค่ไม่กี่วัน ผมคิดเลยว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกในอนาคตแน่

และเขาเพิ่งจะอายุแค่ 17 ปีแต่กลายเป็นนักเตะที่ขยันซ้อมที่สุดคนหนึ่งในทีมทันที เขารูปหล่อและเขาก็รู้ตัวด้วย พอมองดูนักเตะคนอื่นๆ ในกระจก ผมคิดว่าพวกแกนี่หุ่นไม่ได้เรื่องเลย แต่โรนัลโด้ดูใสซื่อและดูดีจริงๆ




รอย กล่าวเรื่อง การขัดแย้งกับตัว คาร์ลอส คีรอซ





ซึ่งผมได้บอกเขาว่า อย่าสะเออะ มาพูดกับผมเรื่องความจงรักภักดีนะคาร์ลอส เมื่อไม่กี่ปีก่อนคุณเพิ่งทิ้งทีมนี้เพื่อไปคุมเรอัล มาดริดหลังจากอยู่ได้แค่ 12 เดือน อย่าบังอาจมาสงสัยเรื่องความจงรักภักดีของผม ผมเคยมีโอกาสจะได้ย้ายไปยูเวนตุสและบาเยิร์น มิวนิคมาแล้ว




รอย กล่าวถึง จุดแตกหักกับ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด





ตัวผมนั้นเพิ่งรู้มาไม่กี่วันก่อนว่าสโมสรพยายามจะเขี่ยผมทิ้ง ผมบอกกับเฟอร์กูสันว่า ผมจะขอไปเล่นให้ทีมอื่นได้มั้ย? ซึ่งเขาก็บอกว่า ได้เลย เพราะเราจะฉีกสัญญานายทิ้งอยู่แล้ว ผมเลยคิดว่า ได้เลย ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง

ในตอนนั้น ผมรู้ว่าหลายทีมนั้นจะติดต่อมาแน่ถ้าข่าวนี้ออกไป ผมเลยบอกไปว่า งั้นผมคิดว่าเราคงต้องจบกันแค่นี้แล้วล่ะ ตอนนั้นผมแค่คิดว่าไอ้พวกงี่เง่าเอ๊ย แล้วผมก็ยืนขึ้นและพูดว่า โอเค งั้นผมไม่อยู่ต่อ




สามารถติดตามชม ไฮไลท์ฟุตบอล ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุด ผลบอล ได้ที่ http://sport.sanook.com/football/


วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ผลบอล : คงจะมีแค่แฟนบอล 2 ทีมนี้แหล่ะมั้ง

วิเคราะห์ผลบอล : คงจะมีแค่แฟนบอล 2 ทีมนี้แหล่ะมั้ง




สำหรับทีมชั้นนำของยุโรปของศึก 5 ลีกใหญ่ หลาย ๆ ลีกถูกมองว่ามีเพียง 2 ทีมเท่านั้นที่มีโอกาสคว้าแชมป์ เปรียบเทียบได้ว่าเป็น “ม้าสองตัว” ที่วิ่งฮ่อควบแข่งกันเข้าสู่เส้นชัยในตอนท้ายฤดูกาล

และถ้าพูดกันชัดๆ ก็เห็นจะเป็น ลา ลีกา สเปน ที่มีแต่เพียง ทีมบาร์เซโลน่า และ ทีมเรอัล มาดริด แต่บางลีกมีหลายทีมสู้กันเพื่อแย่งแชมป์ แต่ก็มีแฟนบางกลุ่มที่เห็นว่ามันแข่งกันแค่ 2 ทีม

แต่พูดถึงลีกที่เล่นกันแค่สองทีมที่ชัดที่สุด คงหนีไม่พ้นศึก ลา ลีกา ของสเปน ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามีเพียงแค่สองขั้วอำนาจมานานหลายปี ระหว่าง ทีมบาร์เซโลน่า แห่งแคว้นกาตาลัน และ ทีมเรอัล มาดริด แห่งนครหลวงมาดริด ที่ต่อสู้กันมาหลายต่อหลายฤดูกาล

ซึ่งอาจจะมีสอดแทรกขึ้นมาบ้างอย่าง ทีมแอตเลติโก มาดริด หรือ ทีมบาเลนเซีย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขับเคี่ยวกันของสองยักษ์ใหญ่นี้ สร้างความสั่นสะเทือนได้ทั้งประเทศและยุโรปมาโดยตลอด



แม้ว่า 2 ทีมนี้เกลียดกันยันเงา แต่ต่างก็เคารพในฝีมือฝั่งตรงข้าม


และก็ไม่ใช่แค่ ลา ลีกา แต่ใน บุนเดสลีกา เยอรมัน แม้ว่าจะมียักษ์ใหญ่เพียงแค่รายเดียวครองความยิ่งใหญ่นั่นคือ ทีมบาเยิร์น มิวนิค มาหลายปี

แต่ว่าในช่วง 4 - 5 ปีหลังมานี้ ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กลับมาทวงคืนความสำเร็จที่เคยทำได้ ด้วยการเบียด “ทีมเสือใต้” ขึ้นคว้าแชมป์ 2 ซีซั่นติดต่อกันในฤดูกาล 2010-11 และ 2011-12

และถึงแม้ว่าจะฟอร์มดร็อปไปในปีที่แล้วและปีนี้ แต่ก็ยังส่งอิทธิพลต่อการลุ้นแชมป์ ของ บาเยิร์น โดยมีทีมอย่าง เลเวอร์คูเซ่น หรือ ชาลเก้ 04 ขึ้นมาท้าทายบ้างในบางฤดูกาล



ซึ่งที่ต่อมาเพิ่งจะมาแรงเอาเมื่อซีซั่นที่แล้ว นั่นคือ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แม้ยักษ์ใหญ่ที่เพิ่งกลับมาผงาดอีกครั้งอย่าง ยูเวนตุส จะต่อกรยากเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องความแข็งแกร่งของทีม หรือผู้ตัดสินยามเล่นในบ้านก็ว่ากันไป แต่มีทีม อาแอส โรม่า ที่นำโดย ฟรานเชสโก้ ต็อตติ ที่อาจหาญขึ้นมาต่อกรไม่อย่างไม่ย่อท้อ แม้จะยังทำได้แค่เป็นรอง แต่ก็ทำให้การไล่ล่าแชมป์ของ “ทีมไอ้ม้าลาย” ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

ซึ่งแต่ในลีกยอดนิยมอย่าง ศึกพรีเมียร์ลีก ทีมจะแข่งกันเป็นแชมป์ไม่ได้มีแค่ 2 ทีมเหมือนชาวบ้านเขา แต่ก่อนอาจเรียกว่า บิ๊กโฟร์ ที่ประกอบด้วย

  1. ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  2. ทีมอาร์เซน่อล
  3. ทีมเชลซี 
  4. ทีมลิเวอร์พูล 

และในช่วง 5 ปีหลัง มี ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นมาด้วย

อาจจะเรียกว่าแฟนบอลทุกทีม ต่างสนุกสนานกับการลุ้นตำแหน่งแชมป์ประจำฤดูกาล ของแดนผู้ดีกันอย่างสนุกสนาน ในความหลากหลายและไม่ตายตัวของการแข่งขันยอดนิยมที่มีฐานแฟนบอลแน่นที่สุดในทุกมุมโลกลีกนี้




ภาพตัวอย่างหลังจากแมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ หรือจบสัปดาห์มีอันดับสูงกว่าคู่แข่ง


แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีแฟนบอลบางกลุ่ม บางจำพวก ที่คิดว่า ศึกโปรแกรมพรีเมียร์ลีก นั้นเล่นกันเพียงแค่ 2 ทีมแค่ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด และ ทีมลิเวอร์พูล ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนนู้นครับ บี้กันอยู่กลางตาราง ทีมไหนแข่งก่อนในสัปดาห์นั้นแล้วแพ้เนี่ย เรียกว่าไม่ได้เงยหน้ามาหายใจจนกว่าอีกทีมจะได้แข่ง

ซึ่งยิ่งถ้าอีกฝ่ายแพ้ด้วยนะคุณเอ้ย แทบจะขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ในบ้านไม่ออกมาเจอหน้าผู้คน เพราะอะไร กลัวโดนล้อจ้า ถามว่าไปช่วยเขาลงเตะ หรือเป็นผู้ถือหุ้นของสโมสรหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ซะหน่อย!




ทั้งๆที่วันที่ทีมไม่ได้ลงแข่งแท้ๆ แต่ก็ยังอดไม่ได้


และถ้าหาก สัปดาห์ไหน มีฟุตบอล ยุโรป แฟน บอลกลุ่มเกรียนแตกของทีม “หงส์แดง” ก็จะถามเซ้าซี้อยู่นั่นแหละว่าทีม แมนฯ ยูฯ ไม่มีเกมกลางสัปดาห์เหรอ ไม่ได้ไป แชมเปี้ยนส์ ลีก เหรอ

ในตอนที่จับสลาก ได้อยู่โถไหนเหรอ ก็พูดกันไม่เลิก ไม่เคยเบื่อ คนอื่นที่เขาได้ยินต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเขาก็เอือม ไม่ได้ตลกเหมือนตอนที่เล่นกันแรกๆ แล้ว




และนั่นก็เป็นที่แน่นอน วันใดที่หงส์ชนะ แฟนผีก็โดนเย้ยหยันเช่นกัน


ถ้าจะถามว่ามีแต่ “เกรียนหงส์” เหรอ ไม่หรอก “เกรียนผี” ก็ไม่น้อยหน้า ยิ่งสัปดาห์นี้ ตัวเองหนีขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ได้เนี่ย ล้อ ทีมลิเวอร์พูล เขาไม่หยุด ถามกันตลอดว่าอันดับเท่าไหร่เหรอ ไปบอลยุโรปเหนื่อยเหรอ กลางสัปดาห์ไม่ชนะเหรอ ทีมอะไรอยู่อันดับ 4 ทีมอะไรอยู่อันดับ 9 เหรอ




แล้วมันจะทำไมเหรอครับ ลีกมันจบแค่สัปดาห์นี้แล้วเหรอ การแข่งนัดหน้า ทีมแมนฯ ยูฯ จะไม่แพ้ ทีมลิเวอร์พูล จะไม่แพ้กันแล้วใช่ไหม เล่นกันไม่เลิกทั้งสองฝ่าย ไม่เคยสนใจเลยว่า ทีมเชลซี นู่น เขาเป็นจ่าฝูงนู่น มีตั้ง 19 แต้ม

ซึ่งถ้าไปแข่งกันทำตามเป้าตัวเองที่วางไว้ต้นฤดูกาล ดีกว่ามานั่งหาความสนุกปากกันไปสัปดาห์ต่อสัปดาห์แบบนี้



ภาพอันนี้น่าจะโดนใจแฟนทีมอื่นครับ เป้าหมายชัดเจนมาก


ล้อกันเองไม่พอ แต่ยังดึงชาวบ้านชาวช่องเขาเข้าไปอยู่ในนี้ด้วย เล่นส่งข้อความมาถามผู้ดำเนินรายการลักษณะว่า “พี่ครับ แมนฯยูฯ อยู่ที่เท่าไหร่ แล้ว ลิเวอร์พูล อยู่ที่เท่าไหร่ครับ

ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ครับ เราเอือมที่จะตอบ แม้จะรู้ว่าท่านเสียเงินส่งมันมาก็ตาม ยิ่งไปหาดูตามหน้าเฟซบุ๊คต่างๆ ที่เกี่ยวกับฟุตบอลแล้วล่ะก็ แฟนขาเกรียนสองทีมนี้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าทีมไหนแน่นอน เก่งบนหน้าคอมพิวเตอร์เนี่ย ขอให้บอก ไม่แพ้ใครในใต้หล้าอยู่แล้ว




แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือน ๆ กันไว้ เล่นสนุกกันหอมปากหอมคอก็พอ อย่าไปสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ใครต่อใครเขาเลย

ซึ่งทีมใคร ใครก็รักครับ ล้อสนุกกันพอเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต้องเอามาเป็นจริงเป็นจังขนาดต้องวิวาทกัน ผลงานแย่ก็ว่าไปตามเนื้อผ้า ผลงานดีก็ชื่นชม สู้ไปด้วยกัน แพ้วันนี้ วันหน้าก็แข่งใหม่ ฤดูกาลนี้แย่ ฤดูกาลหน้าก็เอาใหม่ เขายังไม่ยุบลีกในปีสองปีนี้แน่นอน

จงอย่าเพิ่มเรื่องปวดหัวให้สังคมปัจจุบันเลย อย่าเป็นแฟนบอลเกรียนๆ ที่จะทำให้แฟนบอลดีๆ เขาเป็นขี้ปากชาวบ้านไปด้วยเลย

และอย่าให้คนอื่นเขาด่าว่า แฟนบอล แมนฯ ยูฯ น่ะเหรอ แฟน ลิเวอร์พูล น่ะเหรอ ปากดีอย่างนั้น เกรียนอย่างนี้ หรือน่าหมั่นไส้ยังไงก็ตาม มันไม่น่าชื่นชมหรอกครับ


ที่มา : http://sport.sanook.com/105493/