วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ว่าจะไม่อะไรแล้วนะ!!! แต่ต้องขอพูดสักทีแล้วล่ะ

ต้องพูดถึงแล้วนะสำหรับ ภาษาอังกฤษสำเนียงเมียเช่า?




ซึ่งในหลาย ๆ วันที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสวิเคราะห์บอลไทย ที่กลบทุกกระแสข่าว บนโลกออนไลน์ เสียงชื่นชม และร่วมกันอิ่มเอิมกับสิ่งที่เรียกว่า ความสุข ของชาวไทย คือความรู้สึกที่เราช่วยกันแชร์ต่อถึงห้วงเวลาที่แสนดีครั้งนี้

แต่ว่าส่วนตัวผม ก็เชื่อว่าหลายคนคงมีความรู้สึกว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมนุษย์อยู่หนึ่งคน ที่ทำให้ความรู้สึกของกองเชียร์ ที่กลับมารักและศรัทธาในเกมลูกหนังตั้งคำถามว่า ผู้ชายคนนี้ มันต้องการอะไรจากสังคม

ถูกต้องแล้วครับ ผมกำลังพูดถึงการโพสข้อความผ่านเฟซบุคส่วนตัวของอาจารย์จากมหาลัยดัง ที่ถูกเผยแพร่และแชร์ต่อไปในวงกว้าง ถึงแนวคิดอันสุดโต่ง กับกีฬาฟุตบอล

โดยที่ผมบอกตรงนี้เลยนะครับ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้อาจจะเห็นข้อความของอาจารย์ท่านนี้ ผ่านการแชร์อย่างมากมาย แต่ผมก็คิดว่ามันก็เป็นแค่พวกอยากทวนกระแส และอยู่แค่กลุ่มเล็กๆ เผลอๆ รู้สึกไปคนเดียวด้วยซ้ำ

แต่ว่าหลายๆ คนคงอาจมีคำถามอยู่บ้างว่า ทำไม ข่าวคนนี้ถึงไม่อยู่ใน บนข่าวกีฬาผลบอลของเว็บ Sanook.com เลย

ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะ ผมเองและพี่ๆ ในทีมงาน มองเป็นทำนองเดียวกันว่า เราไม่ควรที่จะให้ค่า กับสิ่งที่เขาพูด

แต่ในทันทีที่โพสขบวนล่าสุด ของมนุษย์ผู้ถูกคนตามจวกกว่าค่อนประเทศ โพสตำหนิ การให้สัมภาษณ์ของ โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ว่า พูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบเมียเช่าฝรั่งพัทยา




แค่แว๊บแรกที่ผมเห็น บอกตามตรงว่า จุกในลำคอ พร้อมกับในสมองคิดอย่างเบาๆว่า ไอ้...มันต้องการอะไร (เว้นช่องให้เติมกันเองแล้วแต่สะดวกครับ)

และเฟซบุ๊คคือพื้นที่ส่วนตัว ใครก็ไม่ชอบใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเข้ามาดูเข้ามาอ่าน อันนี้ผมไม่เถียงซักแอะ

เพียงแต่ว่า ไอ้ประโยคที่ พูดในทำนองเหยียดหยาม และกดคนอื่นว่าต่ำกว่าตน แบบนี้มันสมควรแล้วหรือที่จะโผล่ออกมาจากบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น ครูบาอาจารย์

โดยที่ โค้ชซิโก้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อพูดภาษาอังกฤษให้สำเนียงเหมือนต้นแบบ เขาเกิดและโตมากับฟุตบอล เส้นทางเกินกว่าครึ่งชีวิตเขาก็มาจาก ฟุตบอล

แต่ว่าภาษาอังกฤษ ที่เขาต้องพูด ก็เพราะต้องการสื่อสารให้เข้าใจกับ ผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ยิงคำถามต่างๆนานา มันก็เท่านั้น

ก็อย่าลืมว่า การเข้ามารับงานโค้ช และพาทีมชาติไทย ก้าวขึ้นไปหยิบแชมป์อาเซียน มันคือสิ่งที่หลายคนในประเทศนี้ไม่มีโอกาสได้ทำ และหากได้ทำก็ไม่รู้จะทำได้เยี่ยงเขาหรือเปล่า

ซึ่งการเริ่มต้นวิ่งชนกับความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ การที่เขาได้เข้ามายืนในตำแหน่งแห่งความหวัง ที่คนไทยต่างเฝ้ารอความฝันอันสูงสุด มันคือยุคเริ่มต้น

โดยที่นักเตะอายุน้อย และโค้ชอายุน้อย กำลังจะร่วมกันสร้างทีมแห่งอนาคต อย่าให้คนเพียงคนเดียวเข้ามาทำให้ พวกเขาห่อเหี่ยวหัวใจเลยครับ

และถ้าหากอาจารย์ท่านนี้ ที่พกดีกรีนู่นนี่นั่น คุณวิจารณ์ในศาสตร์และวิชาที่คุณถนัด อันนี้ใครจะว่าคุณได้ ตามสบายเลยลูกเพ่

เพียงแต่ที่บอกว่า

  • ชัปปุยส์ติดทีมชาติเพราะหล่ออย่างเดียว
  • ซิโก้ไม่ควรเป็นโค้ชเพราะอายุน้อย 


ซึ่งมันชัดว่ามันบอกว่าคุณ ดูบอลเป็นหรือไม่เป็นกันแน่

ในส่วนลูกสมุนของมนุษย์ท่านนี้ ก็เข้ามาเห็นด้วยครับอาจารย์ และ ร่วมกันสรรเสริญว่าถูกต้องครับอาจารย์ ผมละ สะอิดสะเอียนจนอยากจะสำรอกออกมา





ด้วยเหตุและผลคือสิ่งที่ไม่มีวันตาย ชัปปุยส์ ถ้าตัดความหล่อออกไป เขาก็ยังคู่ควรกับโปรแกรมบอลทีมชาติไทยอยู่ดี ถามว่ามันผิดด้วยเหรอ ที่ดันทะลึ่งเกิดมาหน้าตาหล่อ

ในส่วนแนวคิดว่า โค้ชที่ดีและจะประสบความสำเร็จต้องอายุ 50 ปีขึ้นไป คำตอบมีให้เห็นแน่นอนอยู่ทั่วโลก ว่าอาจารย์ท่านนี้พูดมามันใช่เหรอ

โดยที่รูปแบบและแนวทางการดำเนินชีวิตของ โค้ชซิโก้ ที่พร้อมจะเป็นแบบอย่าง ให้คนรุ่นหลังได้เดินตาม กำลังถูกว่าร้ายแบบไร้ซึ่ง เหตุผล

ถึงแม้จะเป็นในวงแคบๆ ของคนจิตใจแคบและตีบตัน ผมว่ามันไม่สมควร อันนี้ใครจะเห็นต่างก็ไม่ว่ากันครับ

ก็เอาเป็นว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วมีความสุข ก็ขอให้โชคดีนะอาจารย์ ผมคนหนึ่งละที่มองตรงกันข้ามกับอาจารย์ทุกอย่างที่อาจารย์ว่ามา เฉพาะเรื่องฟุตบอลนะครับ

และผมคงไม่ผิดใช่มั้ยที่จะบอกว่า คุณก็มีดีในศาสตร์ของคุณ ผมเองก็มีดีในศาสตร์ของผมเช่นกัน

เพียงแต่ว่าลูกผู้ชายอย่างผมก็ ไม่เคยแม้จะเอื้อนเอ่ย หรือวิจารณ์ ในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัดเลยสักนิด

วิเคราะห์บอลวันนี้ทุกคู่  โดย บ.ส้มซิ่ง
วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฟุตบอล: ทีมเรอัลมาดริด ควรขาย เบลหรือไม่?

ทีมเรอัลมาดริด ควรขาย เบลหรือไม่?




แฟนบอลวิเคราะห์ผลบอลกว่า 3 หมื่นกว่าคน ที่เยี่ยมชม เว็บไซต์อาส สื่อกีฬาชื่อดังของประเทศสเปน โดยในหัวข้อที่เปิดให้รวมโหวตว่า แกเร็ธ เบล สมควรอยู่ราชันชุดขาวต่อหรือไม่นั้น มีถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ที่เห็นด้วย

โดยสืบเนื่องมาจากที่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้อย่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นมีแผนจะใช้งบประมาณสูงถึง 120 ล้านปอนด์ หรือถ้าเทียบเป็นเงินยูโร ก็แค่ 150 ล้าน เท่านั้นเอง ในการดึงปีกชาวเวลส์ มาร่วมทีม

และเมื่อไปสัมภาษณ์กับ หลุยส์ ฟาน ฮัล กุนซือชาวดัตช์ของ ทีมผีแดง ก็ปรากฏว่าเจ้าตัวก็เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม เขาหนีไปพึ่ง ซีอีโอของทีมว่า เขาอยากจะคุยเรื่องนี้เฉพาะกับผู้บริหารของทีมเท่านั้น ไม่ใช่สื่อมวลชนใดๆ ทั้งสิ้น

และหาก ทีมผีแดงยื่นเงินมหาศาลจำนวนเงินขนาดนั้นเข้ามาจริงๆ นั่นเท่ากับว่า จะทำลายทุกสถิติ รวมถึงสถิติ ของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ เพื่อนร่วมทีม และ สถิติของตัวเอง ทั้งหมดอีกต่างหาก




ซึ่งถึงแม้ว่าจำนวนเงินดังกล่าว จะยังไม่ได้ถูกยื่นเข้ามาจริงๆ จังๆ ตามข่าว แต่ทว่าแฟนบอลที่ติดตามฟุตบอลสเปน ในเว็บไซต์กีฬาอาส เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ก็อยากได้เงิน 150 ล้านยูโร มากกว่า แกเร็ธ เบล เสียแล้ว

และถ้าเอาเข้าจริงตารางบอล จำนวนนี้ก็มากพอที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ จะเนรมิตรอะไรในทีมใหม่ก็ได้ รวมถึงชื่อสนาม ซานติอาโก้ เบร์นาบิว ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนชื่อไปตามสปอนเซอร์อภิมหาเศรษฐี เจ้าของกลุ่มทุนปิโตรเลียมจากตะวันออกกลาง ก็อาจจะต้องแหวกประเพณีไปใช้ชื่ออื่น

โดยที่เป็นไปได้ว่าแฟนบอลที่เห็นด้วย อยากได้เงินมารักษาประเพณีของลาลีกา และ ความมั่นคงของสโมสรทีมฟุตบอลในสเปนมากกว่า จะรั้งซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งไว้

หรือนั่นอาจเป็นแฟนบอลทีมอื่นๆ ที่อยากจะให้ เบล ไปจาก ทีมเรอัล มาดริด นั่นแปลว่า เขาอยากจะให้ ทีมราชันชุดขาว เหลือแค่ โรนัลโด้ ทางฝั่งซ้ายเท่านั้น จะทำให้กองหลังทีมอื่นๆ งานเบาขึ้นเยอะ




แต่นั่นก็จะมีเบล หรือ ไม่มีเบล สำหรับทีมเรอัล มาดริด ก็เคยเอาตัวรอดมาได้แล้ว ในช่วงที่ปีกพญาวานรบาดเจ็บ ในนัดที่ไปเยือนอัลเมเรีย รวมถึงนัดที่เปิดบ้าน กลับมาชนะ ทีมบาร์เซโลน่า 3-1 เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

โดยที่นักเตะอย่าง อิสโก้ กับ ฮาเมส โรดริเกซ ก็สามารถเล่นเป็นตัวในก็ได้ หรือริมเส้นก็ดี คาร์โล อันเชล็อตติ ใช้สองคนนี้ เล่นแทนได้อย่างไม่เขอะเขิน แม้คุณภาพความเร็ว จะเป็นรอง แกเร็ธ เบล พอสมควร

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้ง อิสโก้ และ ฮาเมส มีประโยชน์กับเกมแถวๆ ตรงกลางมากกว่า ที่จะให้ไปกระชากและวิ่งที่ริมเส้น เพราะคราใดที่ ลูก้า โมดริช เจ็บ สองคนนี้รักษาสมดุลตรงกลางสนามได้อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ หากต้องมีคนใดคนหนึ่งมาแทนเบลแบบตายตัวแล้ว ตรงกลางสนามจะคุมเกมกันไม่ได้อย่างที่เป็นทุกวันนี้

ในบางครั้งที่ ตัวของเบนเซม่า นั้นบาดเจ็บ ส่วนฮาเวียร์ ชิชาริโต้ เฮอร์นานเดซ อาจจะเล่นไม่ได้มาตรฐานกับเฟรนช์แมน แกเร็ธ เบล ยังสามารถไปเล่นหน้าเป้าได้ด้วยซ้ำ เหมือนที่ทำกับทีมชาติเวลส์




ซึ่งหาก ทีมเรอัล มาดริด นั้นอยากจะขายนักเตะเพื่อจำนวนเงินมหาศาลจริงๆ นักเตะที่พวกเขาไม่ใช้ อย่าง

  • คาเซมิโร่
  • อาเซียร์ อิญาร์ราเมนดี้ 

นั้นควรจะอยู่ในบัญชีนี้มากกว่าอีก อย่างน้อยๆ สองคนนี้ ต้องเข้ากระเป๋าสัก 30 ล้านยูโร

และสำหรับฟาบิโอ โคเอ็นเทรา และ ราฟาเอล วาราน ก็เนื้อหอมใช่ย่อย สามารถเรียกราคาได้สูงๆ จากสองแข้งแนวรับนี้แน่นอน

หลังจากที่ตัวผมเกริ่นมาทั้งหมด ในการยอมขายพวกตัวรับ มากกว่าที่จะให้ เบล ออกจาก ทีมเรอัล มาดริดไปจริงๆ คงหนีไม่พ้นเกมรุกที่เอ็นเตอร์เทนแฟนบอลได้อย่างดีของพวกเขา

โดยที่แกเร็ธ เบล ได้ลงพร้อม กับ ตัวโรนัลโด้, กับฮาเมส และ อิสโก้ เห็นๆ กันอยู่ว่าโคตรหลากหลาย เกมรับจะเป็นยังไงผมไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ เพราะฟุตบอลหากจะเสียประตูบ้าง ผมมองว่ามันเป็นสีสัน

ในการทำประตูเป็นจุดขายของ ลาลีกา มานานแล้ว กว่า 1045 ประตูในซีซั่น 2013-2014 เป็นรอง พรีเมียร์ลีก แค่เพียง 7 ประตูเท่านั้นในซีซั่นเดียวกัน




เพราะฉะนั้นนี่คือลีกฟุตบอล ที่เน้นเกมรุกที่เร้าใจ ไม่ว่าทีมเล็กๆ อย่าง ทีมเออิบาร์ และทีมดาวรุ่งอย่าง ทีมบีญาร์เรอัล พวกเขาก็ไม่เคยคิดจะเล่นรับกันเลยแม้เจอกับทีมใหญ่ ทำให้ผมชอบนักเตะเกมรุก มากกว่าเกมรับเป็นแน่แท้

แล้วเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดของ ทีมเรอัล มาดริด มีคลาสทีมที่ไม่เป็นรองใครในโลก หากมีทีมใดจะมาซื้อนักเตะที่พวกเขาใช้งานอยู่ไป นั่นหมายความว่าต้องเป็นทีมที่ดีกว่า ทีมเรอัล มาดริด เท่านั้นหรือเปล่า

นั่นมันเหมือนหยามหน้า ยอดทีมเบอร์หนึ่งของโลกเวลานี้ชัดๆ

และหากผมเป็นประธาน ทีมเรอัล มาดริด แล้วมีข้อเสนอยื่นมาจริง 200 ล้านปอนด์ผมก็ไม่ขาย แล้วทำให้เป็นข่าวออกสื่อด้วย นอกจากจะได้ใจแฟนบอลที่ตามเชียร์เรอัล เพราะซูเปอร์สตาร์แล้ว

ทั้งยังเพิ่มระดับความไฮเอนด์ให้กับทีมเป็นทวีคูณ เพราะนี่คือ ทีมเรอัล มาดริด ชุดสีขาว ที่นักบอลอยากใส่กันนักกันหนายังไงเล่า

Palm
วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฟุตบอล: การซื้อตัวนักเตะที่ดูเหมือนจะเป็นการลงทุนที่ล้มเหลว

นับเป็นการลงทุนที่ล้มเหลว จนโลกต้องจดจำ




ซึ่งก่อนที่เราจะ ฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้วยการหวนกลับไปรำลึกถึงเหล่านักเตะฟุตบอล ทีมเจ้าบุญทุ่ม ผู้ที่เข้าข่ายตำน้ำพริกละลายทิ้งแม่น้ำกันดีกว่า มาดูกันว่ามีทีมใดบ้างที่สู้อุตส่าห์ทุ่มเม็ดเงินมหาศาล แต่กลับคว้าน้ำเหลวไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเป็นชิ้นเป็นอัน



1.ทีมอันจิ ทุ่มเงินไป 115 ล้านยูโร ใน ปี 2011




หลังจากที่มหาเศรษฐี ซูไลมาน เคอร์มอฟ ได้เข้ามาซื้อ ทีมอันจิ พร้อมกับดำเนินแบบตามลอยทีมดังทีมอื่นๆ ในทวีปยุโรปด้วยการที่ควักกระเป๋าก้อนโต กว้านซื้อนักเตะซูเปอร์สตาร์เข้าสู่ทีม ไล่ตั้งแต่

  1. โรแบร์โต้ คาร์ลอส
  2. ซามูเอล เอโต้
  3. เอ็มบาร์ค บูสเซาฟา
  4. ชูซิเล่ 
  5. เมห์ดี้ คาร์เซล่า 

แต่ผลปรากฏออกมาว่า ทีมล้มเหลวไม่เป็นท่า และตามมาด้วยปัญหาการขาดทุนต้องขายซูเปอร์สตาร์เพื่อลดค่าใช้จ่าย



2.ทีมควีนส์ปาร์ค ทุ่มเงินไป 50 ล้านยูโร  ในปี 2012)




ทีมควีนส์ปาร์ค ก็ได้ทุ่มเงินเพื่อความอยู่รอดของ สโมสร หลังจากที่ได้อนุมัติเงิน 50 ล้านยูโร เพื่อดึงนักเตะดังอย่าง

  1. ปาร์ค จี ซอง
  2. โจเซ่ โบซิงวา
  3. ชูลิโอ เซซาร์
  4. เอสเตบัน กราเนโร่
  5. สเตฟาน เอ็มเบีย 
  6. โลอิค เรมี่ 

เข้าสู่ทีม แต่ว่า ผลสุดท้ายก็ไปไม่รอด และยังคงตกชั้นเช่นเดิม




3.ทีมท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทุ่มเงินไป 150 ล้านยูโร  ในปี 2013




หลังจากที่ได้ขาย แกเร็ธ เบล ให้ ทีมเรอัล มาดริด โดยได้กำไรมหาศาล ซึ่งสโมสรก็ได้นำเม็ดเงินดังกล่าวเข้ามาตกแต่งขุมกำลังใหม่ทันที บรรดานักเตะค่าตัวแพงทยอยย้ายเข้าสู่รัง ทีมไวท์ ฮาร์ท เลน ไล่ตั้งแต่

  1. โรแบร์โต้ โซลดาโด้
  2. เอริค ลาเมล่า
  3. เปาลินโญ่ 
  4. คริสเตียน เอริคเซ่น 

และยังไม่รวมแข้งอื่นๆ อีกเพียบ ผลบอลที่ได้รับ ตอนนี้มีแค่ เอริกเซ่น คนเดียวเท่านั้นที่เล่นได้คุ้มค่าตัว



4.ทีมโมนาโก ทุ่มเงินไป 190 ล้านยูโร  ในปี 2013




ทีมโมนาโก เปิดโฉมใหม่มาด้วยความทะเยอทะยาน อยากจะถีบตัวเองขึ้นเป็นยอดทีมของยุโรป ปีแรกก็ได้ทุ่มเงินไป 190 ล้านยูโร ซื้อนักเตะที่ตัวเองคิดว่าดีทันที

  1. ราดาเมล ฟัลเกา
  2. เจา มูตินโญ่
  3. ฮาเมส โรดริเกซ 
  4. เจฟฟรีย์ ก็องด็อกเบีย 

แต่ว่าโชคไม่ดีที่ แค่ปีแรกตัวของ ฟัลเกา ก็เล่นไม่คุ้มค่าตัวแล้วเพราะเจ็บยาวที่หัวเข่า



5.ทีมลาซิโอ ทุ่มเงินไป 120 ล้านยูโร ในปี 2001




ทีมลาซิโอ ซึ่งเป็นทีมกลางๆ จากศึกเซเรีย อา ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยมีโมเมนต์แบบนี้กับเค้าด้วย ในปี 2001 สโมสรเคยคิดอยากจะเป็นใหญ่ในยุโรป จึงได้ใช้เงิน 120 ล้านยูโร ดึงแข้งระดับสตาร์สู่สโมสร ทั้ง

  1. กาอิซก้า เมนดิเอต้า
  2. ดาร์โก้ โควาเซวิช
  3. สเตฟาโน่ ฟิออเร่
  4. จูเลียโน่ จิอันนิเคดด้า 
  5. ยาป สตัม 

ซึ่งบทสรุป นั้นมีแค่ ยาป สตัม ที่โดดเด่นเป็นดีลที่คุ้มค่าที่สุด ส่วนในด้านของ 1.เมนดิเอต้า และ 2.โควาเซวิช นั้นถือว่าน่าผิดหวังมาก




6.ทีมลิเวอร์พูล ทุ่มเงินไป 160 ล้านยูโร  ในปี 2014




ทีมลิเวอร์พูล นั้นมองเห็นอนาคตจากผลงานสุดยอดในฤดูกาล 2013 ในซัมเมอร์ปี 2014 ทางสโมสรจึงได้ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อหวังสานต่อความสำเร็จรวมถึงต้องการหาคนมาชดเชยการจากไปของ หลุยส์ ซัวเรซ ที่เป็นนักเตะมากหน้าหลายตาถูกดึงมาที่นี่ ไล่ตั้งแต่

  1. มาริโอ บาโลเตลลี่
  2. อดัม ลัลลาน่า
  3. เดยัน ลอฟเรน
  4. ลาซาร์ มาร์โควิช 
  5. อัลแบร์โต้ โมเรโน่ 

แต่ว่าตอนนี้ผลงานของทีมลิเวอร์พูลนั้นกำลังจมดิ่งสู่ก้นเหว



7.ทีมเรอัล มาดริด ทุ่มเงินไป 260 ล้านยูโร  ในปี 2009




สำหรับทีมราชันชุดขาวนั้นได้ทุ่มทุนมหาศาลแบบสุดๆถึง 260 ล้านยูโร เพื่อล่าลายตัวของ

  1. โรนัลโด้
  2. คาริม เบนเซม่า
  3. ชาบี อลอนโซ่
  4. ริคาร์โด้ กาก้า
  5. ราอูล อัลบิโอล 

แต่ว่าจบฤดูกาลแชมป์ได้ตกเป็นของ ทีมบาร์เซโลน่า

ส่วนในรายของ

  1. โรนัลโด้
  2. เบนเซม่า 
  3. อลอนโซ่ 

นั้นถือว่าเป็นการซื้อที่คุ้มค่า แต่ว่าสำหรับเงิน 65 ล้านยูโร ที่เป็นค่าตัวของ กาก้า กลับดูแพงเกินไป



คาร์ราเกอร์ ได้จัด โคตร 11 นักเตะที่ ยอมเยี่ยมศึกพรีเมียร์ลีก




หลังจากที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่เป็นตำนานกองหลัง ทีมลิเวอร์พูล ได้ออกมาจัดทีมรวมยอดแข้งของศึกพรีเมียร์ลีก โดยได้มีเพื่อนร่วมทีมเก่าติดเพียงคนเดียวคือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และมีผู้เล่นจากทีมคู่ปรับอย่างทัพ ทีมปีศาจแดง ติดมาถึง 5 คนด้วยกัน

โดยที่อดีตแนวรับ ในวัย 36 ปี ที่ปัจจุบัน ได้ผันตัวไปเป็นนักวิเคราะห์บอลลูกหนังของ สื่อสกาย สปอร์ตส์ และ ได้เขียนบทความผ่าน สื่อเดลี่ เมล ซึ่งล่าสุดได้ลองจัดดรีมทีมผ่านแอคเคาน์ทส่วนตัวในเว็บไซต์ชื่อว่า Kicca


  1. ซึ่งแน่นอน ตำแหน่งผู้รักษาประตูของผมคือ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล คงยากหากจะให้หานายประตูคนที่เก่งกว่าเขาแล้วล่ะ
  2. และแย่หน่อยนะที่ ตำแหน่งแบ็คขวาเป็น แกรี่ เนวิลล์ ซึ่งเป็นผู้เล่นชั้นยอดตลอดกาล แต่ว่าในไม่ช้าอาจจะโดน ปาโบล ซาบาเลต้า ชิงตำแหน่งไป ผมขอเอาใจช่วยนะ
  3. สำหรับ ตำแหน่งแบ็คซ้ายใกล้เคียงกันมากระหว่าง 1.โคล, 2.เออร์วิน และ 3.เอฟร่า แต่ผมเลือกโคล เพราะช่วงที่พีค เขาเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ
  4. ต่อมาสำหรับผมสุดยอด ตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คในยุคของ ศึกพรีเมียร์ลีก ผมขอยกให้สองคนนี้เลย จอห์น เทอร์รี่ กัปตันของ ทีมเชลซี และ โทนี่ อดัมส์ตำนาน ทีมอาร์เซน่อล
  5. และไม่ว่าใครก็ต้องมี รอย คีน ใน ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ซึ่งเขามีอิทธิพลสูงกับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆ
  6. สำหรับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด จะจับคู่กับ คีน สโคลส์ กับ แลมพาร์ดก็ใกล้แล้วแต่มันเฉือนกันแค่นิดเดียวจริงๆ
  7. สำหรับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกขณะนี้ จะยืนฝั่งขวาในทีมนี้
  8. ตัวของ ไรอัน กิ๊กส์ ผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จที่สุด สร้างสถิติจำนวนนัดที่ลงสนาม กับถ้วยรางวัลซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย จะเล่นฝั่งซ้าย
  9. ส่วนอลัน เชียเรอร์ ดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ยิงแทบทุกนัดที่ลงสนาม เขายืนหน้าเป้า
  10. และที่จะขาดไม่ได้ เธียร์รี่ อองรี ผู้เล่นที่เก่งที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นในพรีเมียร์ลีก จะยืนเยื้องฝั่งซ้ายของ เชียเรอร์ เป็นตำแหน่งที่เขาไม่ถนัด



วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สกู๊ปวิเคราะห์บอลพิเศษสำหรับฟุตบอลไทยและ คำพูดของโค้ชซิโก้

เมื่อต้นกล้ากำลังเกิด ก็อย่าเพิ่งเร่งให้โตไวนัก






ซึ่งหลังจากจบภารกิจพิชิตแชมป์แบบสุดระทึก ทีมชาติไทยเดินทางมาถึงมาตุภูมิ ห้วงเวลานี้คือการเดินสาย ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุน

ในขณะเดียวกันการเตรียมทีม ชุดแห่งอนาคตนี้ ได้ถูกยิงคำถามว่า เราจะไปบอลโลกใช่หรือไม่?

ก็ต้องขอบอกว่า ใจเย็นเย็นครับลูกเพ่! มันยังไม่ใช่เวลานี้ครับ...

หลังจากที่เราเพิ่งวิ่งชนความสำเร็จ พร้อมกับเสียงชื่นชมจากคนทั่วทั้งประเทศ ไม่ผิดหรอกครับที่หลายคนจะมองไกลไปถึงฟุตบอลโลก




เพียงแต่ ผมขอบอกได้เลยว่า มันยังไม่ใช่เวลาอันใกล้นี้หรอก เราต้องค่อยๆ ขยับไปทีละขั้น จะดีกว่าครับ

เริ่มแรกที่ทัวร์นาเม้นท์ ปลายปีหน้าก่อนเลยดีกว่าใน ศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 28 ที่แดน ลอดช่อง ประเทศสิงคโปร์

นัดนี้ผมขอบอกว่าทีมฟุตบอลทีมชาติไทย กับ การป้องกันแชมป์ จะจัดหนักจัดเต็มอย่างแน่นอน!

ซึ่งทำไม? ผมถึงมั่นใจและกล่าวเช่นนั้นออกมา

ก็แหม จะไม่ให้พูดวิเคราะห์ผลบอลแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเหลือบไปมองรายชื่อผู้เล่นจากชุด แชมป์ซูซูกิคัพ 2014 หนนี้ ที่บรรดานักเตะเลือดหนุ่มที่อายุยังน้อย พวกเขามีโอกาสได้ลงวาดลวดลายใน ศึกซีเกมส์ปลายปีหน้า ได้กว่าครึ่งทีมเลยทีเดียว


  • ชนินทร์ แซ่เอียะ อายุ 22ปี
  • พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา อายุ 21ปี
  • อดิศร พรมรักษ์ อายุ 21ปี
  • นฤบดินทร์ วีรวัฒน์โนดม อายุ 20ปี 
  • ธนบูรณ์ เกษารัตน์ อายุ 21ปี
  • อาทิตย์ ดาวสว่าง อายุ 22ปี 
  • สารัช อยู่เย็น อายุ 22ปี
  • ชาริล ชัปปุยส์ อายุ 22ปี 
  • ชนาธิป สรงกระสินธ์ อายุ 21ปี 
  • อดิศักดิ์ ไกรษร อายุ 23ปี





และส่วนรายชื่อนักเตะ ชุดแชมป์โปรแกรมบอลซีเกมส์ ที่ประเทศเมียนมาร์ คนที่สามารถเล่น ศึกซีเกมส์ ที่ประเทศสิงคโปร์ได้อีกก็มีดังนี้


  • นูรูล ศรียานเก็ม อายุ 22ปี 
  • ภิญโญ อินพินิจ อายุ 22ปี 
  • ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ อายุ 21ปี 
  • สุริยา สิงห์มุ้ย อายุ 19ปี 
  • ปกรณ์ เปรมภักดิ์ อายุ 21ปี 
ซึ่งถ้าดูจากฟอร์ม และ กระแสของฟุตบอลไทยเวลานี้ เมื่อเห็นรายชื่อของพวกเขาแล้ว

แล้วถ้าจะบอกว่าเราเป็น ทีมเต็ง 1 ของซีเกมส์ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง แถมรายชื่อเหล่านี้ ยังไม่รวม ดาวรุ่ง ดาวโรจน์ ที่กำลังรอเวลาโผล่ขึ้นมาอีกนะครับ

ตัวผมเชื่อลึกๆ ว่า ขอเพียงแค่เราไม่ประมาท เก็บตัวอย่างต่อเนื่อง พยายามหาแมตช์อุ่นเครื่องไม่ให้ขาด รับรองนักเตะ ชุดแห่งอนาคต คงจะหยิบแชมป์ซีเกมส์ มาให้ประเทศไทยได้ไม่ยาก




และส่วนเรื่องการลงคัดเลือกบอลโลก 2018 ในช่วงปลายปีหน้า ผมเห็นด้วยกับประโยคของ ซิโก้ ที่บอกว่า ต้นกล้ากำลังเกิด อย่าเพิ่งเร่งให้โตไวนัก

ซึ่งเราอย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลยครับ เพราะนักเตะชุดนี้ยังรอคอยเวลาเติบใหญ่อย่างแข็งแกร่ง เรื่องการได้ไปโลดแล่นใน ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ยังเป็นเรื่องยากอยู่มหาหินเฉกเช่นเดิม

ถ้าหากทีมชาติไทย นั้นพยายามสร้างทีมชุดนี้ ให้ยกระดับขึ้นไปอยู่แนวหน้าของเอเชียให้ได้เสียก่อน จากนั้นการมองไปถึงการเข้ารอบบอลโลกรอบสุดท้าย ค่อยมาว่ากันอีกที

คำที่ว่า บอลไทยไปบอลโลก ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากทุกส่วนทุกฝ่ายไม่ช่วยกันลงมือทำ

ส่วนไอ้คนที่เอาแต่พูด เอาแต่ด่าว่า ไร้สาระ บอลไทยเนี่ยนะ จะไปบอลโลก ผมขอเถอะครับ! บางครั้งมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมานะ

ถ้าจะติเพื่อก่อ อันนี้ผมว่าน่าเคารพ แต่ไอ้พวกที่วิจารณ์แบบไร้เหตุและผล โดยหารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังโชว์รอยหยักในสมองอันน้อยนิดออกมา ผมว่าก็หยุดเถอะครับ




ซึ่งสุดท้าย เรื่องบอลโลก กับ ทีมชาติไทย ผมยกเอาตัวอย่างที่น่าชื่นชมอย่าง ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเขาเองก็สร้างทีมมานานกว่า 30 ปี ก่อนที่พวกเขาจะได้ไปเชิดหน้าชูตาในรอบสุดท้ายของศึกลูกหนังโลกได้

ประเทศไทยเราเองก็เช่นกัน การได้เริ่มต้นนับ1..2....3 แบบวันนี้ ในสักวันนึง เราจะไปถึงฝั่งฝันที่ไม่ใช่แค่เรื่อง เพ้อเจ้อ อีกต่อไป

เรื่องโดย : บ.ส้มซิ่ง



โค้ชซิโก้ คือหนึ่งความภูมิใจของวงการฟุตบอลไทย





สำหรับศึกที่เพิ่งจบไปหมาดๆ กับการทวงบัลลังก์แชมป์จ้าวอาเซียน ของเหล่าขุนพลนักเตะ ทีมชาติไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ซูซูกิคัพ 2014 ปิดฉากการรอคอยมาถึง 12 ปีเต็มได้อย่างงดงาม

แต่ก็กว่าจะได้มา ทำเอาดราม่าสุดๆ เหมือนกัน หลังถูกทัพ ทีมเสือเหลืองถลุง นำ 3 - 0 ก่อนที่จะฮึดกลับมาสู้ซัดสองลูกรวดในช่วง 10 นาทีสุดท้าย นั่นทำให้ผลรวม 2 นัด ไทยนำผลบอล 4 - 3 และกลับมาเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด เล่นเอาแฟนบอลชาวไทยใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว




ซึ่งงานนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับหัวจิตหัวใจนักเตะไทยที่ แกร่งเยี่ยงเพชร และยังมีสปิริตยืนหยัดสู้จนวินาทีสุดท้าย โดยนี่ก็ถือเป็นการคืนความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศในอีกรูปแบบหนึ่ง

เพียงแต่ถ้าจะยกให้ โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็น แมน ออฟ เดอะ เยียร์ ผมก็มั่นใจได้เลยว่าแฟนบอลชาวสยามประเทศคงไม่ปฎิเสธกับตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน

และเนื่องด้วยผลงานอันสุดสะเด่านับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วกับการซิวแชมป์ ศึกลูกหนังซีเกมส์ ต่อด้วยการคว้าแชมป์อันดับที่ 4 ในศึกเอเซียนเกมส์ ล่วงเลยจนมาถึง ศึกซูซูกิ คัพ 2014 มันทำให้คนไทยมีความสุขมาโดยตลอดกับ การนั่งดูทีมไทยลงเตะ

แต่ใครจะรู้ไหมครับ กว่าอดีตศูนย์หน้าตัวเก่ง ของเมืองไทยจะมาถึงขนาดนี้ได้ต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง แน่นอนกับการตัดสินใจเข้ามาเป็นโค้ชทีมชาติไทยชุดใหญ่ก็เหมือนการสวมหัวโขนที่ต้องคอยกำกับและกระตุ้นนักเตะในทีมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้




ด้วยเหตุผลที่เรื่องที่จะต้องแบกรับความกดดันจากการคาดหวังจากหลายๆ ด้าน รวมถึงแฟนบอลชาวไทยที่อยากเห็นสำเร็จในทุกๆ รายการที่แข่งขัน

และถ้าเราจะให้มองถึงการคุมทีมชาติไทยนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย โดยเฉพาะการคัดเลือกนักเตะที่มาจากหลายๆ สโมสร ซึ่งอาจจะเป็นซุปตาร์ของสังกัดนั้นๆ แน่นอนระบบแท็กติกการเล่นก็จะแตกต่างกันไป

และแถมยังเลือกมาก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ เพราะต้องมาขัดเกลาหลอมรวมให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองทั้งในและนอกสนาม ซึ่งก็ถือว่าทำได้ยากกับแข้งวัยรุ่นช่วง 20 ต้นๆ

เพียงแต่ว่า ด้วยคาแร็กเตอร์ส่วนตัวของ โค้ชซิโก้ ที่มีพื้นฐานดีเยี่ยมในด้าน ระเบียบวินัย มันเลยเป็นจุดแข็งที่ติดตัวมาโดยตลอด ครั้งยังเป็นนักเตะจนทำให้กลายเป็น 1 ในสุดยอดศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของเมืองไทยคนนึง




และรูปแบบการสร้างทีมที่เห็นได้ชัด คือไม่นิยม เด็กเส้นเด็กฝาก เหมือนโค้ชต่างชาติที่เคยผ่านมา ที่สามารถลบภาพฟุตบอลไทยเก่าๆ ได้อย่างราบคาบ

โค้ชโก้ใช้ความเข้าใจในบุคลิกภาพของนักเตะและประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่กับลูกกลมๆ ที่หาไม่ได้จากชั้นเรียน มาปรับเปลี่ยนแก้ไขและถ่ายทอดสู่นักเตะในทีมได้อย่างลงตัว

ซึ่งจากที่เมื่อก่อนทีมชาติไทยที่สภาพเหมือน ผู้ป่วยอาการโคม่า ที่รอวันตายอย่างเดียว กลับคึกคักขึ้นมาอีกครั้งอย่างภาพที่เราได้เห็นกันไป




เพียงแต่ว่าภายใต้การคุมทีมของอดีตศูนย์หน้าจอมตีกาคนนี้ นั่นทำให้คนไทยเริ่มมีศรัทธากลับมาพร้อมกับความหวังถึงความสำเร็จในเกมระดับชาติอย่างการไปเล่นฟุตบอลโลกที่ชาวไทยหลายคนอยากสัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต

และสิ่งนี้มันก็มีโอกาสเหมือนกัน หากเรารักษาระดับการเล่นแบบนี้ เล่นให้มันส์ เล่นให้สนุก เล่นให้เต็มที่จนวินาทีสุดท้าย

ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้นักเตะชุดนี้เล่นกันไปเรื่อยๆ จะได้รู้ใจกันมากขึ้น เพราะมันคือสิ่งสำคัญของคำว่า ทีมเวิร์ค

โดยที่สิ่งนี้นี่คือสาเหตุทั้งหมด ที่ว่าทำไม โค้ชซิโก้ ถึงเป็นหนึ่งในความภูมิใจฟุตบอลไทยและเป็นขวัญใจของแฟนบอลไทยทั้งประเทศไปโดยปริยาย




โดยที่สุดท้ายนี้ยังไงก็ต้องขอขอบคุณ โค้ชซิโก้ และบรรดานักเตะรวมถึงสตาฟฟ์โค้ชในทีมทุกคน ที่ช่วยกันพาทีมคว้าแชมป์ซูซูกิคัพ หนนี้

ผมก็ถือเป็นของขวัญปีใหม่ที่ล้ำค่ามากๆ และเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศจะจดจำไปอีกนานแสนนาน



เรื่องโดย : มิดไนท์
วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผลบอลศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่บิ๊กแมทซ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

จนได้สินะ!! ฟัลเกาโขกบอลช่วยผีแดงเจ๊า ทีมวิลล่า 10 คน 1 - 1 แบ่งแต้มกันไป





ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2014 - 2015 นัดที่ 17


  • แข่งวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557
  • ทีมแอสตัน วิลล่า 1-1 ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  • แข่งที่สนาม : วิลล่า พาร์ค
  • กรรมการผู้ตัดสิน : ลี เมสัน


ในนาทีที่ 18 เจ้าบ้านมาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 เมื่อ ฟาเบียน เดลฟ์ ได้โยนบอลไปให้ คริสติย็อง เบนเตเก้ จับเอาบอลลงแล้วแตะหนี จอนนี่ อีแวนส์ ก่อนปั่นด้วยซ้ายเข้าประตูไป โดยที่ ดาบิด เด เคอา โดนบังอยู่ ทำให้หมดสิทธิ์ป้องกัน

ซึ่งหลังจากที่เสียประตูไป ทีมเยือนก็เดินเครื่องบุก และ ก็มาได้ลุ้นลูกยิงจาก แอชลี่ย์ ยัง เปิดบอลไปให้ อันโตนิโอ วาเลนเซีย หาจังหวะยิง แต่ก็ซัดไม่ตรงประตู

ในช่วงท้ายครึ่งแรก ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นพยายามบุกหวังทำประตูตีเสมอ แต่ก็ยังเจาะตาข่าย แอสตัน วิลล่า ไม่ได้จนหมด 45 นาทีแรก ทีมสิงห์ผงาด นำอยู่ 1-0

ช่วงครึ่งหลัง ทีมวิลล่า ได้เตะมุมจาก ฟาเบียน เดลฟ์ เปิดบอลมาให้ คริสติย็อง เบนเตเก้ โหม่งไปโดน ดาบิด เด เคอา ปัดบอลออกไปได้หวุดหวิด

ในนาทีที่ 48 ฝั่งทีมเยือนเกือบได้ประตูจาก เวย์น รูนี่ย์ ที่จ่ายบอลให้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กดด้วยซ้ายไปโดน แบร็ด กูซาน ปัดบอลออกหลังไปได้

ซึ่งนาทีที่ 53 ทีมผีแดง ก็ได้ทำประตูตีเสมอเมื่อ แอชลี่ย์ ยัง กระซากบอลหนี แม็ทธิว ลอว์ตัน เปิดบอลจากด้านซ้ายไปให้ ราดาเมล ฟัลเกา ขึ้นโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย 1 - 1

นาทีที่ 62 ทีมวิลล่า มีลุ้นจาก ฟาเบียน เดลฟ์ กดด้วยซ้าย ทว่าไปตรงตัว ดาบิด เด เคอา ป้องกันเอาไว้ได้

นาทีที่ 65 ตัวของกาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ มาโดนใบแดงจากจังหวะที่เข้าปั้มบอลกับ แอชลี่ย์ ยัง ซึ่งดูภาพช้าแล้วไม่ใช่การเปิดปุ่มใส่ ทำให้เจ้าบ้านเหลือผู้เล่น 10 คน

ในนาทีที่ 85 ทีมสิงห์ผงาด เกือบได้ประตูนำอีกครั้ง ฟาเบียน เดลฟ์ ไหลบอลให้ เลอันโดร บาคูน่า ส่องไกลบอลแรงข้ามคานไปนิดเดียว

ทำให้จบเกม 90 นาที ทีมแอสตัน วิลล่า เสมอกับ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปผลบอล 1 - 1 แบ่งกันทีมละแต้ม


มาดูรายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ทีมแอสตัน วิลล่า ระบบ : 5-3-2

1.ผู้รักษาประตู :

  • แบร็ด กูซาน

2.กองหลัง :

  • แม็ทธิว ลอว์ตัน
  • โยเรส โอโกเร่
  • รอน ฟลาร์
  • เคียแรน คล้าร์ก
  • อาลี ซิสโซโก้

3.กองกลาง :

  • อันเดรียส ไวมันน์
  • ฟาเบียน เดลฟ์
  • คาร์ลอส ซานเชซ

4.กองหน้า :

  • คริสติย็อง เบนเตเก้
  • กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์


ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ระบบ : 3-4-1-2

1.ผู้รักษาประตู :

  • ดาบิด เด เคอา

2.กองหลัง :

  • ฟิล โจนส์
  • ไมเคิ่ล คาร์ริค
  • จอนนี่ อีแวนส์

3.กองกลาง :

  • อันโตนิโอ วาเลนเซีย
  • ดาร์เรน เฟลตเชอร์
  • เวย์น รูนี่ย์
  • แอชลี่ย์ ยัง 
  • ฆวน มาต้า

4.กองหน้า :

  • โรบิน ฟาน เพอร์ซี่
  • ราดาเมล ฟัลเกา



ตัวซิลบาเบิ้ล2ลูกให้เรือใบสีฟ้าเปิดรังต้อนทีมพาเลซ 3-0 ทำเเต้มทาบจ่าฝูง





ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ปี 2014 - 2015 นัดที่ 17


  • แข่งวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2557
  • ไฮไลท์พรีเมียร์ลีกทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 - 0 ทีมคริสตัล พาเลซ
  • แข่งที่สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม
  • กรรมการผู้ตัดสิน : ฟิล ดาวด์


หลังจากที่ ทีมคริสตัล พาเลซ ซึ่งเป็นทีมเยือนได้เขี่ยบอลเริ่มเกมในครึ่งเวลาเเรก โดยจะบุกจากด้านขวาไปด้านซ้าย

ในนาทีที่ 7 ทีมเรือใบสีฟ้า เเมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ลุ้นก่อน เมื่อ ปาโบล ซาบาเลต้าเเตะบอลคืนหลังให้กับ แฟร์นานโดได้วิงเข้ามายิงบอลโด่งข้ามคานออกไป

ในนาทีที่ 19 เยานนิค โบลาซี่ โหม่งชงให้กับ เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ได้ยิงด้วยลูกจักรยานอากาศ บอลโด่งข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย

ในนาทีที่ 23 เจมส์ มิลเนอร์ ได้ตวัดบอลจากด้านริมเส้นฝั่งซ้าย มาให้กับ ยาย่า ตูเร่ ได้ยิงบอลโด่งข้ามคานออกไป

ต่อมานาทีที่ 42 ยาย่า ตูเร่ จ่ายบอลทะลุช่องขึ้นไปด้านฝั่งขวาให้ ปาโบล ซาบาเลต้าหลุดไปกระดกบอลข้ามฮูเลียน สเปโรนี่ เเต่ว่าบอลหลุดเสาสองออกไปอย่างน่าเสียดาย

ในนาทีที่ 49 ทีมเเมนฯ ซิตี้ ได้ทำประตูขึ้นนำ ทีมคริสตัล พาเลซ ก่อน 1 - 0 เมื่อปาโบล ซาบาเล ตวัดบอลจากด้านฝั่งขวา มาให้กับดาบิด ซิลบายิงบอลติดโจเอล วอร์ดเข้าไปตุงตาข่าย

และในนาทีที่ 41 อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟเปิดบอลจากด้านริมเส้นฝั่งซ้าย มาให้กับซาเมียร์ นาสรี่ยิงบอลเข้าไปตุงตาข่ายให้ ทีมเเมนฯ ซิตี้ หนีห่าง ทีมคริสตัล พาเลซ 2 - 0

และในนาทีที่ 80 ทีมเเมนฯ ซิตี้ นำ ทีมคริสตัล พาเลซ เป็น 3 - 0 จากเกมโต้กลับเร็วที่ เจมส์ มิลเนอร์จ่ายบอลจากด้านฝั่งซ้าย มาให้กับยาย่า ตูเร่ ซัดบอลยัดเสาเเรกเข้าไปตุงตาข่าย

โดยในช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่สามารถทำประตูได้ ทำให้จบเกม ทีมเรือใบสีฟ้า เเมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านต้อนเอาชนะ ทีมปราสาทเรือนแก้ว คริสตัล พาเลซ ด้วยสกอร์ 3-0 พร้อมกับทำเเต้มเทียบเท่าจ่าฝูงศึกฟุตบอลพรีเมียร์ อังกฤษ อย่าง ทีมเชลซี เเต่เเข่งมากกว่า 1 นัดดูตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุด


มาดูรายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีมที่ลงสนาม


รายชื่อทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระบบ 4-2-3-1 :

1.ผู้รักษาประตู :

  • โจ ฮาร์ท

2.กองหลัง :

  • ปาโบล ซาบาเลต้า
  • มาร์ติน เดมิเคลิส
  • เอเลียควิม ม็องกาล่า
  • อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ

3.กองกลาง :

  • แฟร์นานดินโญ่
  • ยาย่า ตูเร่ 
  • ซาเมียร์ นาสรี่ เปลี่ยนตัว สก็อตต์ ซินแคลร์ ลงมาในนาทีที่ 89
  • ดาบิด ซิลบา เปลี่ยนตัว แฟรงก์ แลมพาร์ด ลงมาในนาทีที่ 69
  • เฆซุส นาบาส

4.กองหน้า :

  • เจมส์ มิลเนอร์ เปลี่ยนตัว แฟร์นานโด ลงมาในนาทีที่ 81


รายชื่อทีมคริสตัล พาเลซ ระบบ 4-5-1 :

1.ผู้รักษาประตู :

  • ฮูเลียน สเปโรนี่

2.กองหลัง :

  • มาร์ติน เคลลี่
  • สก็อตต์ แดนน์
  • เบรเด้ ฮันเกลันด์
  • โจเอล วอร์ด

3.กองกลาง :

  • เจมส์ แม็คอาร์เธอร์
  • มิเล่ เยดินัค
  • โจ เล็ดลี่ย์ เปลี่ยนตัว แบร์รี่ เบนแนน ลงมาในนาทีที่ 89
  • เจสัน พันเชียน เปลี่ยนตัว เจโรม โธมัส ลงมาในนาทีที่ 83
  • ยานนิค โบลาซี่

4.กองหน้า :

  • เฟรเซอร์ แคมป์เบลล์ เปลี่ยนตัว วิลเฟร็ด ซาฮา ลงมาในนาทีที่ 66


วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์บอล Comment ฟุตบอล ทีมมาเลเซียหลังจบเกมส์อีกรอบ

ลองมาดู Comment ฟุตบอล ทีมมาเลเซียหลังจบเกมส์อีกรอบ





ลองมาจัดกันไปดูอีกรอบกับความคิดเห็นของแฟนบอลมาเลเซีย หลังถูกทีมไทยพลิกสถานการณ์กลับมาซัดสองลูกรวดท้ายเกมและคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ


ก็เล่นทำให้แฟนบอล ทีมเจ้าถิ่นถึงกับร่ำไห้กันไปเลย เราลองไปชมกันดีกว่าว่า พวกเขาเจอแบบนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร?


1.El Chito

  • นักเตะชาริลชัปปุยส์ คุณทำให้ผู้หญิงมาเลเป็นบ้า ผมเกลียดคุณ รีบกลับประเทศคุณไปซะ



2.Aijaz Azlan

  • Goalll!!! Mas vs THA 1-0
  • Goalll!!! Mas vs THA 2-0
  • Goalll!!! Mas vs THA 3-0
  • นี่มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ พวกเราต่างหัวเราะทีมไทย แต่สุดท้ายคือเรานี่แหละที่ถูกไทยหัวเราะ



3.Zarif Sniper

  • ผมชอบวิเคราะห์บอลก่อนเกมส์และหลังเกมส์แต่คืนนี้ผมไม่ขอพูดถึง จริงๆ ผมเขียนบทความชื่นชมทีมเสือมลายูที่เราเล่นได้มีประสิทธิและยอดเยี่ยมมากๆ ที่เราสามารถนำได้ถึง 3 - 0 เขียนเสร็จเรียบร้อยผมคิดว่าเราจะไม่พลาดจากการเป็นแชมป์แน่ๆ 
  • แต่แล้วสุดท้ายมันก็เหมือนเป็นฝันร้าย ความฝันที่เราเป็นแชมป์ก็ดับลงเพราะไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร ใครจะคิดละว่าทีมเราจะผ่านมาถึงรอบชิงได้ เราทำดีที่สุดแล้ว



4.Mrsha Drhizuan

  • ผมขอแสดงความยินดีกับทีมชาติไทยถึงแม้ทีมของคุณจะทำให้พวกเราอกหักแต่เราก็ภูมิใจที่อย่างน้อยๆ ครั้งนึงทีมผมก็สามารถเอาชนะทีมไทยได้ เผื่อวันนึ่งหากทีมไทยชุดนี้เป็นระดับท็อปของเอเซีย มาเลเราก็เอาไปคุยได้ว่า ทีมผมเคยชนะมาแล้ว 5555


5.Mohamad Nazrie

  • ประเทศเรากำลังจะจัดปาตี้ฉลองชัยชนะในบ้านของเราอยู่แล้ว โอ้ยยยย จะร้องไห้ น้ำตาที่ไหลเพราะดีใจเปลี่ยนกลายเป็นน้ำตาที่ไหลผิดหวัง 10 นาทีสุดท้ายผมอึนเลย


6.Afiq Akmar

  • ทีมเสือมลายูนั้นยังคงเป็นแชมป์ในใจของพวกเราเสมอ


7.Yanaa Lee

  • เกมส์นี้มันเป็นเกมส์ที่ตื่นมีทุกความรู้จริงๆ ตื่นเต้น ดีใจ สนุกสนาน ผิดหวัง เศร้า


8.MuslimZaira Azlan

  • ช็อค?



9.laziem Jameel

  • ถึงแม้ว่าเราจะสู้ทีมไทยได้สูสีแต่อย่าลืมว่าพวกเขาคือเด็กหนุ่มที่อายุน้อย ซึ่งพวกเขาก็เล่นกันได้อย่างโหด ไม่ไว้หน้าทีมมากประสบการณ์อย่างเรา ไทยมีความฟิตที่ชนะเรา เขาโจมตีจนถึงวินาทีสุดท้าย นั่นแหละพวกเขาได้เปรียบตรงนั้น และการโจมตีที่น่าเสียวสันหลังทุกครั้งที่ไทยบุกมา นั่นคือประสิทธิภาพที่น่ากลัว เคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็ว มีทักษะที่ดี มีเกมส์ที่ทันสมัย มีความฟิต พูดไปพูดมาผมว่าไทยดีกว่ามาเลหมดนะ 555



10.ldnu Zamir
จากสถิติของทีมไทย

  • ในตารางบอลรอบแบ่งกลุ่ม ทีมไทยเอาชนะเรา 3 - 2 เพราะเราหมดในช่วงปลายเกมส์
  • ทีมเรามีโอกาสที่จะยิง ทีมไทย อย่างน้อยๆ ก็หวังเสมอ จนถึงนาทีที่ 70 เราหมดแรง จบเกมส์เราแพ้ 2-0
  • ทีมเราขึ้นนำ ทีมไทยถึง 3 - 0  ภาพถ้วยลอยมาอยู่ตรงหน้า เรายื้อมาได้ถึง 80 นาที สุดท้ายก็โดนไทยมากระชากถ้วยตรงหน้าเรากลับไป เรามีความเก๋าที่ทำให้สู้กับไทยได้อย่างสู่สี แต่พวกเขามีความสด และก็เป็นเขาที่สู้จนครบ 90 นาที ยินดีด้วยกับ ทีมไทย


11.Ahmad LLham

  • ทีมเรามีประสบการณ์มากกว่า ทีมของเขาแต่เรามีความฟิตน้อยกว่าทีมของเราเล่นเกมส์เหมือนอาเซียน แต่ทีมเขาทำเกมส์เหมือนทีมในระดับเอเซียเหมือนพวกตะวันออกกลางหรือเกาหลีญี่ปุ่น ก็เหมาะสมแล้วกับแชมป์ ยินดีด้วยกับประเทศไทย


12.Abdul Aziz

  • ผมอยากให้คนไทยได้รู้จังว่าพวกเราประทับใจทีมของพวกคุณ


13.Syariff Lek Ar

  • ทีมเราชนะในบ้าน แต่สกอร์รวมเราแพ้มันช่างเจ็บปวดสุดๆ เสือมลายูคือแชมป์ในหัวใจพวกเรา


14.Timothy

  • ดอลล่า ซาเลห์ นายสุดยอดมากคับ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเรามีความสุขตั้ง 80 นาที !!!


15.Lzzul lilas

  • ทีมชาติไทยสอนให้รู้ว่าเด็กที่ประสบการณ์น้อยก็สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นปี 2016 ทีมมาเลเรามาสร้างทีมกันใหม่นะ เอาเด็กมาลงเล่นหาประสบการณ์อย่างไทยดีกว่า


16.Muhd Amirudin

  • ทีมเราคือแชมป์ในครึ่งแรก และ ในครึ่งหลัง แต่ 10 นาทีสุดท้าย ทีมไทยคือแชมป์ 2014 ตัวจริงจุกครับ


17.Etaantn Lee

  • ตอนที่นำ 3 - 0 ทั่วถนนมีแต่ผู้คนออกมาร้องเต้นดีใจ แต่พอจบเกมส์เงียบกริบกันทั้งประเทศ


18.Fiq BlackCat

  • ผมได้ไปลบคอมเม้นในเพจอินโดเรียบร้อยแล้วคับ ทีมชาติไทยคุณทำให้ผมหน้าแตก


19.Khairi Asyraf

  • ผู้หญิงประเทศมาเลย์ฯ เราเชียร์ทีมชาติไทย เพราะไอ้เบอร์ 7 นั่นคนเดียว


20.Suhaini Shafie

  • ทีมชาติไทยคือทีมที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังมากที่สุดทุกครั้งที่แข่งกีฬากับไทย ตะกร้อ ฟุตซอล วอลเล่ พวกเขาเชือดเรากินได้อย่างนิ่ม ๆ


21.Aishah Ahmad

  • ใน ปี 2016 เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ ขอแสดงความยินดีกับ ทีมชาติไทย


22.Herosyie Syie

  • ผมไม่คิดว่าทีมฟุตบอลเราจะเอาชนะ ทีมหน้าอ่อนจาก ประเทศไทยได้ยากเย็นเช่นนี้ อนาคตไม่อยากคิด เลย ต้องไปได้ไกลแน่ๆ ทีมชาติไทยชุดนี้


23.Zahir Ets

  • ขนาดชุดใหญ่ยังเป็นแชมป์ได้ ศึกซีเกมส์เราไม่ต้องหวังกันแล้ว ไทยกินนิ่มๆ


24.Mrsha Drhizuan

  • มีดีกรีเป็นถึงแชมป์อาเซียน ออกไปในระดับเอเชียก็คงไม่ต้องอายใครแล้ว ยินดีกับ ทีมชาติไทยด้วย

25.Arie Taiping

  • ทีมชาติไทยคือทีม U23 ที่ 4 ของศึกเอเซียนเกมส์ และภายใต้การคุมทีมของโค้ชเรา เขาก็แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะสามารถแก้เกมส์สู้กับ ทีมชาติไทยได้อย่างสู่สีแม้ความสามารถเราจะเป็นรองอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่เราก็เกือบจะได้แชมป์อยู่แล้วเชียว แต่สุดท้ายพวกเราก็ผิดหวัง สู้ต่อไป เสือมาลายู

26.Amin Badrudin

  • แล้วต่อไปนี้ ทีมชาติไทยจะเป็นตัวแทนอาเซียนไปสู้กับทีมยักษ์ใหญ่ในเอเซีย

27.Nur Syafinaz

  • ขอชมนักเตะบอลไทยหล่อทุกคนเลยคะ รู้ไหมตอนตะเองยิงเข้าเค้ากรี๊ดลั่นบ้านเลยแหละ ชัปปุยยยยย


วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์บอล สเตอร์ลิ่ง VS ซานเชซ ก่อนเกมเดือด ที่แอนฟิลด์

วิเคราะห์บอล สเตอร์ลิ่ง VS ซานเชซ ก่อนเกมเดือด ที่แอนฟิลด์




ซึ่งหลังจากที่ อเล็กซิส ซานเชซ ได้โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่นกับ ทีมฟุตบอลอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้ จนที่ว่ากันว่าเขามีบทบาทและอิทธิพลสำคัญต่อ ทีมปืนใหญ่ เหมือนกับที่ หลุยส์ ซัวเรซ เคยทำไว้ตอนย้ายมาเล่นให้ทีมลิเวอร์พูล

และ ล่าสุด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ทีมหงส์แดง ก็ออกมาชื่นชม ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งทำ 2 ประตู ในเกมลีกคัพรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่บุกชนะบอร์นมัธ 3-1 ว่าดาวรุ่งรายนี้มีผลงานที่โดดเด่นไม่น้อยไปกว่าซานเชซเลย

สำหรับบทบาทของเขาในทีมไม่ต่างจากบทบาทที่ อเล็กซิส ซานเชซ มีต่อ ทีมอาร์เซนอล ร็อดเจอร์ส บอก

ซึ่งเขาไม่ใช่ศูนย์หน้าอาชีพ แต่ความเร็วของเขาในการสปีดหนีกองหลังหรือสอดทะลุแนวรับเข้าไปนั้นสร้างปัญหาได้ตลอด และคุณได้เห็นแล้วจากนัดนี้ว่าเขาสามารถรับบอล พลิกบอล และพาบอลจี้เข้าหากองหลังได้ยังไงบ้าง เขาสุดยอดมาก

และหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ จึงได้นำเอาสถิติใน ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของทั้ง สเตอร์ลิ่ง และ ซานเชซ มาเปรียบเทียบและวิเคราะห์บอลจุดหลักๆ ให้ดูกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะได้วัดฝีเท้ากันจริงๆ ในเกมบิ๊กแมตช์วันอาทิตย์นี้

1.การทำประตู

ถึงแม้จะทำได้ 2 ประตู ในเกมลีกคัพนัดล่าสุด แต่สเตอร์ลิ่งก็ทำประตูในพรีเมียร์ลีกไม่ได้เลยนับตั้งแต่เดือนกันยายน และเพิ่งยิงไปแค่ 3 ลูก เท่านั้น ในฤดูกาลนี้

ส่วนทางด้านซานเชซเป็นดาวซัลโวสูงสุดอันดับ 3 ของโปรแกรมพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ จากการทำ 9 ประตู ในการลงเล่น 15 นัด และยิงรวมกัน 15 นัด ในทุกรายการของฤดูกาลนี้

และถ้าหากดูกันที่โอกาสในการทำประตูแล้ว ซานเชซเฉือนสเตอร์ลิ่งไปเล็กน้อยที่ 28 ต่อ 24 และมีความแม่นยำในการยิงเข้ากรอบมากกว่าที่ 71% ต่อ 63% ส่วนลูกที่ยิงไปติดบล็อก กองหน้าของอาร์เซนอลก็มีสถิติสูงกว่าที่ 15 ต่อ 12

2.การสร้างสรรค์เกม

สำหรับซานเชซนั้นทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมยิงได้มากกว่าสเตอร์ลิ่ง 1 ครั้ง ที่ 5 ต่อ 4 แต่ถ้าดูจริงๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะ ทีมลิเวอร์พูลทำประตูได้น้อยกว่าอาร์เซนอลถึง 9 ลูก ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

แต่ว่าถ้าดูที่การจ่ายบอลแล้วสเตอร์ลิ่งทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วน โดยเขาจ่ายบอลสำเร็จถึง 80% จากจำนวน 524 ครั้ง ขณะที่ซานเชซทำได้ 77% ของการจ่าย 666 ครั้ง

และสำหรับการลากเลื้อยบอลหลบคู่ต่อสู้ ดาวรุ่งของหงส์แดงก็เฉือนไปอย่างเฉียดฉิวที่ 49% ต่อ 48%

ในขณะที่เปอร์เซ็นต์การเปิดบอลเข้ากลางไปถึงเพื่อนร่วมทีมได้ สเตอร์ลิ่งก็ทำได้ดีกว่ามาก แม้จะเปิดแค่ 38 ต่อ 83 ครั้ง ของซานเชซ แต่สำเร็จถึง 21% ต่อ 17%

3.เกมรับ

ตัวของสเตอร์ลิ่ง นั้นลงมาช่วยป้องกันการบุกของคู่ต่อสู้ได้ดีกว่า โดยแย่งบอลสำเร็จถึง 86% เมื่อเทียบกับ 72% ของซานเชซ แม้ว่าจะเข้าแท็กเกิ้ลน้อยกว่าที่ 21 ต่อ 29 ครั้ง ก็ตาม

แต่ว่า ซานเชซ ตัดบอลจากการจ่ายบอลคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าที่ 16 ต่อ 12 ครั้ง แต่สเตอร์ลิ่งก็ช่วยเคลียร์บอลทิ้งได้มากกว่าที่ 8 ต่อ 1

มันจะมีจริงเหรอ แสงสว่างปลายอุโมงค์ของหงส์แดง?




ก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า หลังจบเกมบุกชนะ ทีมบอร์นสมัธ จ่าฝูง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ สวยหรู 3-1 พร้อมตีตั๋วเข้ารอบตัดเชือก ลีก คัพ ได้แล้ว

สำหรับทิศทาง ที่ควรวิจารณ์ผลงานของหงส์แดงควรเป็นอย่างไร?

ซึ่งตัวผมเองก็ หลีกเลี่ยง ตลอดในเรื่องการวิเคราะห์ตารางบอลแบบสาดเสียเทเสีย เฉพาะอย่างยิ่งใน กรณีลิเวอร์พูล เพราะพื้นฐานทีมนั้นดีอยู่แล้ว

และการจะมาเป็นทีมแย่ๆ เพียงชั่ว ข้ามคืน หรือไม่กี่เดือนจากวันเวลา อันดับ 2 ในลีกซีซั่นที่ผ่านมา

มันเป็นไปไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันดับ 11 ในลีก มันไม่ได้ สะท้อน ความเป็นจริง หรือตามภาษาอังกฤษ ก็คือ under perform หรือเล่นต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น




เพราะฉะนั้น ทีมลิเวอร์พูล ก็รอแค่ เวลา หรือ ชนวน อะไรสักอย่างที่จะมาปลดล็อกการทำประตู

และจากที่เห็น แวบๆ ในเกม ศึกแดงเดือด เหล่าขุนพล ทีมลิเวอร์พูล นั้นได้ฉายแววบางสิ่งบางอย่าง ออกมา

ไม่ว่าจะทั้ง รูปแบบ การเล่น Fault No9 ที่มี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นตัวหลักสนับสนุนโดย อดัม ลัลลาน่า และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่

และใช้กองกลาง 4 ตัวมีดังนี้
  1. สตีวี่ เจอร์ราร์ด เป็นหลักตรงกลาง 
  2. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทางด้านขวา 


ซึ่งในนัดที่แพ้ ทีมแมนฯ ยูฯ 0-3 ได้ใช้ โจ อัลเลน ยืนกลาง และมี อัลแบร์โต้ โมเรโน่ ยืนฝั่งซ้าย

แต่ทว่าเกมนี้กับยอดทีมชายฝั่งทะเลอังกฤษ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ใช้ ลูคัส ยืนกลาง และลาซาร์ มาร์โควิช ยืนริมเส้นฝั่งซ้าย




และนักเตะที่ถูก กล่าวขวัญ อย่างมาก คือ มาร์โควิช ดาวเตะเซิร์บจากเบนฟิก้าที่โชว์เล็กๆ ในเกมบาเซิลก่อนที่จะโดน ใบแดง และนัดที่ผ่านมากับ ทีมปิศาจแดง

เขาได้แจ้งเกิดเต็มตัวในแมตช์นี้

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คือ ระบบกองหลัง 3 ตัว:


  1. เดยัน ลอฟเรน
  2. มาร์ติน สเคอร์เทล 
  3. โคโล ตูเร่ 


ที่รายหลังได้เล่นเพราะ เกล็น จอห์นสัน เจ็บยาว 1 เดือน

แต่ทว่าดูเหมือนจะเป็นผลดี เพราะซีซั่นนี้ ตูเร่เล่นดีทุกนัดที่ได้โอกาสลงสนาม ต่างจาก จีเจ ที่ไม่ค่อยประทับใจจ๊อด

โดยท้ายสุด ๆ จริงๆ คือ การปรับใช้ แบรด โจนส์ ยืนนายทวารแทน ซิมง มิโญเล่ต์

ซึ่งนายทวารชาวออสซี่ นั้นดีกว่า มิโญเล่ต์แน่นอนในเรื่องการ ใช้เท้า ที่สำคัญมากๆ สำหรับ ปรัชญา การเล่นของ ร็อดเจอร์ส และ ทีมลิเวอร์พูล

แต่ว่าอย่างน้อย โจนส์ ซึ่งถนัดซ้าย สามารถใช้เท้าได้ดีทั้ง 2 เท้า และดู นิ่ง แม้จะดูเหมือนจะมีจุดด้อยเรื่องการสื่อสารที่ผมมองว่า เงียบไป




โดยรวมๆ ความแล้ว ระบบ 3-4-3 อาจจะ แค่ อาจจะ นะครับ เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชื่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในฤดูกาลนี้

ถ้าพูดถึง ระบบการเล่น หรือ ฟอร์เมชั่น แล้วก็นึกถึงซีซั่นที่แล้ว เพราะกว่า ทีมหงส์แดงจะ เข้าที่ ก็พอสมควรเหมือนกันกับสูตรมิดฟิลด์ ไดมอนด์

เพราะก่อนหน้านี้ หลัง “ซาบซึ้ง” กับชีวิตที่ปราศจาก หลุยส์ ซัวเรซ ตามด้วย แดเนียล สเตอร์ริดจ์

และรู้ว่า มาริโอ บาโลเตลลี่ คือคนที่ ไม่ใช่สำหรับทีม

ซึ่งกุนซือไอร์แลนด์เหนือ พยายามจะปรับสูตรการเล่นครั้งใหญ่มา 1 หนแล้ว ด้วยการปรับ เจอร์ราร์ด มาเล่น หน้าต่ำ

แต่ว่าความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผล อาจเป็นเพราะ สตีวี่ จี เลยวัยทะลุทะลวงไปแล้ว แม้ภาพรวมจะถือว่า กัปตันทีมหงส์แดงทำได้ไม่ขี้เหร่ก็ตาม

เพราะก่อนสุดท้าย ร็อดเจอร์ส จะ เดิมพัน และ เสี่ยงที่สุด ในชีวิตกุนซือด้วยการเลือกเกม ศึกแดงเดือด อันเป็นเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 16 ในฤดูกาล

นั้นเป็นแมตช์ เปิดตัว ระบบการเล่นใหม่ 3-4-3 ที่มี สเตอร์ลิ่ง เป็น ตัวหลัก ในเกมรุก

และตามด้วยเกมนี้ และนัดต่อไปที่มีคิวเปิดบ้าน แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ ทีมอาร์เซนอล ในศึก ซูเปอร์ซันเดย์ นี้

ซึ่งถึงเวลานี้ จุดอ่อนหลักๆ ทั้ง 1.มิโญเล่ต์ และ 2.เกล็น จอห์นสัน รวมถึง 3.บาโลเตลลี่ ได้ถูกคัด ออกจากทีม 11 คนแรกไปแล้ว

เช่นกัน ฟอร์เมชั่น 3-4-3 ได้ถูกพัฒนามาในทิศทางที่น่าสนใจมากๆ จาก 2 นัดล่าสุดที่ถูกนำมาใช้ในเกมสำคัญ และ “ไม่ง่าย”

เพราะฉะนั้น ถ้าหากสุดสัปดาห์นี้ ทีมอาร์เซนอล ได้ตกเป็น เหยื่อ คาแอนฟิลด์ ผมว่า ช่วงโปรแกรมโหด ๆ ตอนคริสต์มาส และนิวเยียร์ แฟนหงส์มีสิทธิกลับมามี “รอยยิ้ม” อีกครั้งครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฟุตบอลไทย: รวมข่าวบอลไทย นัดไทย vs มาเลเซีย 2-0

มาดูคลิปไฮไลท์ ไทย ถล่มมาเลย์ 2 - 0 ซูซูกิคัพนัดแรกกันดีกว่า




หลังจากจบเกมนัดแรกไปพร้อมกับความสะใจของเหล่าแฟนบอลไทย หลังทีมชาติไทย ไล่อัด ทีมเสือเหลือง มาเลเซีย 2 - 0 ในศึก ฟุตบอล ซูซูกิคัพ 2014 รอบชิงชนะเลิศ


งั้นเราลองมาดูคลิปไฮไลท์ ชัยชนะของทีมชาติไทย กันอีกครั้งดีกว่า





คลิปไฮไลท์ฟุตบอล ทีมไทย ถล่ม ทีมมาเลย์ 2 - 0 รอบชิงชนะเลิศ ซูซูกิคัพ 2014 นัดแรก


มาดูกันจะๆ จังหวะที่ทีมชาติไทยเล่นลิงชิงบอลถึง 22 ครั้ง!!




เราลองมาดูกันอีกทีกับจังหวะต่อบอลสุดเหนือชั้นของ ทีมขุนพลช้างศึก ในช่วงท้ายเกม ที่เล่นงานนักเตะ ทีมเสือเหลือง แบบงงเต๊กทั้งทีม ก่อน ชัปปุยส์ ได้จบจังหวะสุดท้าย แต่เสียดายที่ บอลไม่ตรงกรอบแต่ว่าได้ใจแฟนบอลไปเลยทั้งสนาม

ซึ่งเหตุการณ์สุดสวยเกิดขึ้นในนาทีที่ 88 ของเกม ขณะที่ทีมชาติไทยนำทีมชาติมาเลเซียอยู่ผลบอล 2 - 0 เมื่อขุนพลช้างศึกขึ้นเกมจากกลางสนามในแดนตัวเอง ต่อบอลสไตล์ที่เรียกว่า "ติกิ-ตาก้า" แบบเหนือชั้น

และในจังหวะนี้นักเตะไทยสัมผัสบอลและส่งให้กันถึง 22 ครั้ง ก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะเป็น ชาริล ชัปปุยส์ กองกลางตัวเก่งของทีมได้โอกาสสับไกยิงในกรอบเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่ถูกผู้เล่นมาเลเซียเข้ามาบีบ ทำให้ยิงเฉียดเสาออกหลังไปแบบได้ลุ้น พร้อมเสียงปรบมือกึกก้องทั่วสนาม

เราลองมาชมจังหวะที่สวยงามและเปี่ยมไปด้วยทีมเวิร์คนี้ชัดๆ อีกครั้งกันนะครับ





และนอกเหนือจาก 2 ประตูของทีมไทย นี่สุดยอดช็อตประจำเกมนี้อย่างแท้จริงเลยทีเดียว



จัดคะแนนความสามารถของนักเตะไทย หลังเกมอัดมาเลย์ 2 - 0 รอบชิง ซูซูกิคัพ 2014




จบไปพร้อมกับความสะใจของ แฟนบอลชาวไทยทั่วประเทศ หลังทีมชาติไทย ไล่อัด ทีมเสือเหลือง มาเลเซีย 2-0 ในศึก ฟุตบอล เอเอฟเอฟซูซูกิคัพ 2014 รอบชิงชนะเลิศนัดแรก

ซึ่งผลจากชัยชนะในเกมนี้ ทำให้โอกาสที่ไทยจะก้าวไปคว้าแชมป์มีสูงมาก ที่สำคัญเราไม่เสียประตูซะด้วยซิ

ถ้าดูจากฟอร์มสุดเริ่ดของนักเตะจากสยามประเทศ คงต้องบอกว่าเล่นกันได้อย่างถูกใจพระเดชพระคุณจริงๆ

และวันนี้เราก็ยังมีวิเคราะห์บอลคะแนนความสามารถของนักเตะทุกๆคนในสนาม มาฝากกัน เช่นเคยนะครับ




เราลองมาดูคะแนนความสามารถนักเตะไทย คะแนนเต็ม 10 คะแนน

มาเริ่มที่คนแรกเลย กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ : การอ่านเกมและการตัดสินใจออกมาตัดบอลใน หลายๆครั้งของ เจ้าตอง นั้นตอกย้ำว่าฉายา เทพกวินทร์บินได้ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่มันมาเพราะฝีมือของเขาอย่างแท้จริง
เล่นได้แบบนี้ก็เอาไปเลยครับคะแนน : 9/10

คนที่สอง พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา :  แบ๊กซ้ายตีนระเบิด จากทีมบีอีซีฯ สำหรับในเกมนี้ เขาได้พิสูจน์ผลงานในสนามได้อย่างดี แม้การเติมเกมในแนวรุกในวันนี้จะยังน้อยไปหน่อย แต่เกมรับของเขาก็แสดงให้เห็นว่า แบ็คซ้ายทีมชาติไทยเวลานี้ต้องยกให้เขาคนนี้จริงๆ
คนนี้ก็เอาไปเลยคะแนน : 9/10

คนที่สาม สุทธินันท์ พุกหอม : เขาใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาตลอดชีวิตการค้าแข้ง เกมวันนี้ กองหลังตัวเก่งจาก ทีมชลบุรี เอฟซี โชว์ศักยภาพความนิ่งและตัดบอลได้หลายต่อหลายครั้ง
คะแนน : 9/10

คนที่สี่ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ : ในช่วงแรกดูจะไม่นิ่ง แต่หลังจากปรับจูนได้ ทุกอย่างก็อยู่ในการควบคุมของ ธนบูรณ์ ที่สำคัญการอ่านเกม และการเข้าปะทะในจังหวะที่พอดิบพอดี คือสิ่งที่แฟนบอลได้เห็นในเกมนี้
คะแนน : 9/10

คนที่ห้า นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม : สุดยอด แบ๊คขวาพลังเทอร์โบ วิ่งไม่มีหมด ความฟิตที่มีเกิน 100 เปอร์เซนต์ วิ่งอย่างไรก็ไม่หมด โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ผลงานเข้าตาดีเหลือหลาย
เอาใจไปเลยคะแนน : 9/10




คนที่หก ชาริล ชัปปุยส์ : มิดฟิลด์ขวัญใจสาวๆ ไม่ได้มีดีแค่ความหล่อ วันนี้ลูกครึ่งไทย - สวิส รายนี้ ฟอร์มเด่นกว่าหลายๆ นัด ทั้งทักษะฟุตบอลที่หาตัวจับได้ยาก แถมซัดประตูปลดล็อกให้ทีมชาติไทย ทำให้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของทีมในทันที
คะแนน : 10/10

คนที่เจ็ด สารัช อยู่เย็น : เรียกได้ว่า เขาเป็น มดงานตัวจริงเสียงจริง ซึ่งคงต้องยกให้เจ้าหมอนี่ สารัช อยู่เย็น คือมนุษย์ที่ทำงานหนัก และทุ่มเทเหลือเกิน การตามเก็บกวาดผู้เล่น ทีมมาเลเซีย ก่อนที่จะมาถึงกองหลัง คือจุดเด่นที่หาตัวจับยาก และเวลานี้เขาคนนี้ คือตัวตัดเกมที่ดีที่สุดของเมืองไทยไปแล้ว
ให้คะแนน : 10/10




คนที่แปด เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ : หรือ เจ้าก้อง แม้ว่า จะดูหนืดๆ ในช่วงต้นเกม แต่ครึ่งหลังปรับรูปแบบการเล่นได้ดี ลูกยิงแบบเข้าขารู้ใจกับ ชนาธิป ในลูก 2 - 0 เป็นอะไรที่ดูกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ
เอาไปเลยคะแนน : 9/10

คนที่เก้า มงคล ทศไกร : หลังจากลงสนามมา ก็มาบีบมานวด จนแนวรับเสือเหลืองอ่อนปวกเปียก ทำผลงานตามหน้าที่ที่ได้รับมาอย่างขยันขันแข็ง แม้ฟอร์มจะไม่โดดเด่นอะไรมาก แต่มงคล ก็รักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ดีเช่นเคย
ส่วนตัวผมให้คะแนน : 9/10

คนที่สิบ ชนาธิป สรงกระสินธ์ : หรือ เมสซี่ไทยแลนด์ หลังจากได้โชว์ความจี๊ดจ๊าดตลอดทั้งเกม การไปกับบอลด้วยความเร็ว ฉีกกองหลังมาเลย์เป็นริ้วๆ และลูกจ่ายแบบใจกว้างให้กับ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ทำประตู มันเป็นอะไรที่บ่งบอกว่าไอ้หมอนี่ไม่ธรรมดาจริงจริ๊ง!
เอาไปเลยคะแนน : 10/10

คนที่สิบเอ็ด อดิศักดิ์ ไกรษร : หลังจากที่เพิ่งพ้นโทษแบนกลับมา ก็ลงมาสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้มาเยือนในทันที ลูกหนักลูกใหญ่ คือจุดเด่นของเจ้ากอล์ฟ การเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ลำบาก เขาทำได้ไม่มีที่ติ น่าเสียดายที่ลูกหลุดเดี่ยวในท้ายครึ่งแรก ไม่เป็นประตู แต่แค่นี้ก็ถือว่าเขาทำตามเป้าหมายของตัวเองได้เป็นอย่างดี
ให้คะแนน : 9/10

คนที่สิบสอง ประกิต ดีพร้อม : เรียกได้ว่า เป็นยอดตัวสำรองในเกมนี้ เพิ่งลงมาก็ป่วนแนวรับของมาเลย์ในทันที ยิ่งลูกจ่ายให้เจ้าเจ หลุดไปเปิดให้เจ้าก้อง ส่องประตูที่ 2 มันตอกย้ำว่าเขาคือพ่อหนุ่มเท้าชั่งทองจริงๆ
เอาไปเลยคะแนน : 9/10

คนที่สิบสาม อดุลย์ หละโสะ : เขาลงมาทำหน้าที่แทนรุ่นน้องอย่าง สารัช และ อดุลย์ หละโสะ ก็ไม่ได้โชว์ผลงานอะไรมากนัก แต่การคุมจังหวะเกมที่ดี น่าจะเป็นอะไหล่ชิ้นดีของทีมชาติไทยในยามที่ไม่มีสารัช อยู่เย็น แน่นอน
ให้คะแนน : 9/10



และคนสุดท้ายที่เราจะขาดไม่ได้เลย สำหรับ โค้ชเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง : ซึ่งเป็นกุนซือผู้เต็มไปด้วยมาดของผู้นำ ซึ่งเดินหน้าทำผลงานได้ดีจนเป็นที่ยอมรับ เกมนี้โค้ชโก้วางหมากได้อย่างยอดเยี่ยม ทีเด็ดจากการเปลี่ยนตัวของเขา นั้นคืออาวุธร้ายที่คู่แข่งต้องขยาด

และชายคนนี้นี่แหล่ะคือ ผู้ที่ปลุกวงการโปรแกรมฟุตบอลไทยให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ที่สำคัญการได้เห็นเด็กๆ ของเขาเล่นบอลในจังหวะเดียว จนเกือบเป็นที่มาของประตู 3 - 0 เป็นอะไรที่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น กับรูปแบบการเล่นเฉกเช่นนี้
คนนี้จะมีกี่คะแนนก็ไม่พองั้นเอาไปเลย : 100/100


ที่มาโดย บ.ส้มซิ่ง

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สื่อมาเลย์ จวก โค้ชซิโก้ หยิ่งหรือขี้ขลาด!

สื่อมาเลย์ จวก โค้ชซิโก้ หยิ่งหรือขี้ขลาด!




หลังจากที่ได้ กลายเป็นประเด็นขึ้นมาทันที ที่ โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นั้นไม่ได้ออกมาแถลงข่าวก่อนเกม ทำให้สื่อฟุตบอลมาเลย์ได้พาดหัวข่าวตัวโตว่า หยิ่งหรือขี้ขลาด

ทั้งนี้การแถลงข่าววิเคราะห์บอลก่อนเกมรอบชิงชนะเลิศ ศึกซูซูกิคัพ 2014 ระหว่าง ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติมาเลเซีย เมื่อวานที่ผ่านมา โค้ชเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ได้ส่ง โชคทวี พรหมรัตน์ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นายทวารกัปตันทีม มาร่วมกันแถลงข่าว

โดยที่ผู้สื่อข่าวมาเลเซีย นั้นพยายามที่จะถามจี้ ถึงเรื่องการไม่ออกมาแถลงข่าวด้วยตัวเองของ โค้ชซิโก้ ซึ่งทาง โชคทวี พรหมรัตน์ นั้นได้ตอบเพียงสั้นๆ ว่าเราเป็นทีมเดียวกัน ทุกคนมีหน้าที่ช่วยงานหัวหน้าโค้ช

เขาได้กล่าวว่า พวกเราทำงานกันเป็นทีม โค้ชเองมีหน้าที่คุมทีม ส่วนทางด้าน สต๊าฟฟ์เองก็มีหน้าที่ช่วยงานโค้ช และรับคำสั่งมาปฏิบัติตาม อดีตปราการหลังทีมชาติไทยกล่าว

และจากประเด็นนี้ทำให้ สื่อของมาเลเซีย หลายสำนัก นำไปตีข่าว และ พาดหัวข่าวว่า กุนซือทีมชาติไทยว่า Graeme arrogance or cowardice? หรือแปลว่า หยิ่ง หรือ ขี้ขลาดกันแน่? ที่ไม่ยอมออกมาแถลงข่าวในครั้งนี้

ซึ่งในโปรแกรมบอลเกมนัดชิงชนะเลิศ นัดแรก ของ ศึกฟุตบอลไทย เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 จะมีขึ้นในเย็นวันนี้ เวลา 19.00 นาฬิกา ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถ่ายทอดสดทางช่อง 7 สี

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มหากาพย์ศึกฟุตบอลแดงเดือดเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1894

Red Fight ประวัติศาสตร์สงครามลูกหนังแดงเดือดแห่งเกาะอังกฤษ




ถ้าจะวิเคราะห์บอลพูดถึงความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมลิเวอร์พูล ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในวงการฟุตบอลว่านี่คือหนึ่งในคู่ปรับที่มีประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาอย่างยาวนานร่วม ร้อยปี

ถึงแม้จะใช้สีเดียวกันเป็นสีประจำสโมสรก็ตาม แต่เป็นแดงคนละเฉด แดงคนละความหมาย

ซึ่งราวกับว่าทั้งสองทีมนี้เกิดมาเพื่อแข่งขัน ประชัน และชิงชังซึ่งกันและกันตลอดเวลาก็ว่าได้

ซึ่งถ้าจะหลักฐานตามประวัติลูกหนัง ของทั้งสองทีม ที่ผูกด้ายแดงแห่งโชคชะตาเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังใช้ชื่อเดิมว่า นิวตัน ฮีธ และ ทีมลิเวอร์พูล เพิ่งแยกตัวจาก ทีมเอฟเวอร์ตัน มาก่อตั้งสโมสรใหม่ โดยการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน ปี 1894 ทีมลิเวอร์พูล เอาชนะ ทีมนิวตัน ฮีธ ไปได้ 2 - 0




1.แมนฯ ยูไนเต็ด ถ่ายไว้เมื่อปี 1910

หลังจากนั้นในปี 1910 ทีมนิวตัน ฮีธ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลงรับมือกับ ทีมลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกที่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเกมนี้ถูกบันทึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีม

โดยที่ในครั้งนั้น ทีมลิเวอร์พูล ยังเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ 4 - 3


แต่ว่าอย่างไรก็ดีในตอนนั้น การขับเคี่ยวระหว่างสองสโมสรยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ในหมู่ชาวเมือง แมนคูเนียน และ เมืองลิเวอร์พัดเลียน นั้นมีความไม่ถูกกันอยู่ อันเป็นผลสืบเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเดิม เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสิ่งทอ ขณะที่ เมืองลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญของประเทศอังกฤษ




2.บิลล์ แชงค์ลี่ย์ กับ บูธรูม ถ่ายไว้เมื่อปี 1960

เพียงแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมีการขุดคลองที่ เมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้เรือต่างๆ ได้ย้ายจากการเทียบท่าที่ เมืองลิเวอร์พูล มาเทียบท่าที่ เมืองแมนเชสเตอร์แทน และทำให้ เมืองลิเวอร์พูล ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

ซึ่งการขับเคี่ยวเพื่อการเป็น สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ได้เริ่มรุนแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 เมื่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จในการเป็นสโมสรอังกฤษแห่งแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ ในปี 1968

แต่ว่าหลังจากนั้น เมืองลิเวอร์พูล ได้ผงาดขึ้นมาผูกขาดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในยุคเรืองรองสืบเนื่องจาก บิลล์ แชงคลีย์ จนถึงยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ

และก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เป็นมหาบุรุษจากสกอตแลนด์ จะพลิกชะตาที่ตกต่ำของเหล่าอสูรแดง ให้กลับมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลระดับโลก จนแซงหน้า ทีมลิเวอร์พูล ในทุกด้านใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

ซึ่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือการพาทีมคว้าแชมป์ลีกแซงหน้า ทีมหงส์แดง ที่เคยครองอันดับหนึ่งด้วยการ

  1. คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 แบบเดิม 18 สมัย
  2. คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19
  3. ปัจจุบันสมัยที่ 20


ทำให้ทีคมลิเวอร์พูล ต้องชูเรื่องความสำเร็จในเวทียุโรปกับสถิติการเป็นทีมจากอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มากที่สุด 5 สมัยแทน




3.ฝ่ายนึงเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัย และอีกฝ่ายเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 20 ครั้ง

ก็จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสโมสรนั้นสืบเนื่องกันมาช้านานแล้ว และรายละเอียดที่นำเสนอนั้นเป็นเพียงแค่โดยสังเขปเท่านั้น

และถึงแม้ว่าสถานการณ์ในยามนี้ของทั้งสองสโมสรจะตกต่ำลงจากอดีตอยู่บ้าง โดยเฉพาะ ทีมลิเวอร์พูล ที่ย่ำแย่อย่างน่าใจหายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่ ทีมยูไนเต็ด ยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับสู่ความสำเร็จ

และก็ใช่ว่าความน่าสนใจของการพบกันระหว่างทั้งสองทีมจะลดน้อยถอยลงไป

เพราะขึ้นชื่อว่าศึก เรด ไฟท์

ก็ย่อมไม่เคยมีใครยอมใครอยู่แล้ว

=============

ศึก Red Fight ในตำนาน

ปี 1977 - นัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ



สำหรับทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โดยเวลานั้น ทีมลิเวอร์พูล หวังคว้า ถ้วยเทรเบิลแชมป์ เนื่องจากได้แชมป์ลีกแล้ว รอคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ หากชนะ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจ่อเข้าชิง ศึกยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรกกับ ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ด้วย

แต่ว่า สจ๊วร์ต เพียร์สัน และ จิมมี่ กรีนฮอฟฟ์ ได้ดับฝันหงส์แดง ด้วยชัยชนะ 2 - 1 ของเหล่าทีมปีศาจแดง

ปี 1983  นัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ



ทีมลิเวอร์พูล ได้ล้างแค้นได้สำเร็จในอีก 6 ปีต่อมา เมื่อเอาชนะ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2 - 1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ จากประตูของอลัน เคนเนดี้ และรอนนี่ วีแลน แม้ว่า นอร์แมน ไวท์ไซด์ จะยิงนำให้ทีมยูไนเต็ดได้ก่อนก็ตาม

นั่นทำให้หงส์แดง คว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็น โทรฟี่ใบสุดท้ายของบ็อบ เพสลีย์ ก่อนจะอำลาวงการ ส่งผ่านงานต่อให้โจ เฟนแกน ศิษย์ บูทรูม รุ่นต่อไปรับช่วงต่อ


ปี 1994  ศึกพรีเมียร์ลีก



ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นกำลังอยู่ในช่วงเริ่มของยุคทอง และเป็นฝ่ายออกนำไปแบบสบายๆ 3 - 0 ที่แอนฟิลด์จากประตูของ 1.สตีฟ บรู๊ซ, 2.ไรอัน กิ๊กส์ และ 3.เดนิส เออร์วิน แต่ ทีมลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของแกรม ซูเนสส์ ไม่ยอมแพ้ไล่ตีเสมอได้แบบปาฏิหารย์ จาก 2 ประตูของ ไนเจล คลัฟ และนีล รัดด็อก ก่อนที่จะเสมอกัน 3-3 เป็นเกมช่วงท้ายๆ ก่อนซูเนสส์จะโดนปลดจากตำแหน่ง

ศึกแดงเดือดที่แสนเงียบเหงา




ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า ว่าทำไมฟุตบอลแดงเดือดฤดูกาลนี้ ในนัดแรกทำไมมันดูเงียบๆ ชอบกล ทั้งๆ ที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ทีมลิเวอร์พูล ที่ทั้งสองทีมคือทีมของมหาชนชาวสยาม ที่มีแฟนบอลมากที่สุดทีมนึง

และถ้าเป็นช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา เวลามีฟุตบอลคู่นี้ทีไร มักจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้แฟนบอลไปร่วมสนุกและนั่งรับชมการถ่ายทอดสดทางทีวีจอยักษ์ส่งตรงมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งก็จะมีทั้ง สาวกอสูรแดง กับ สาวกชาวเดอะค็อป ชวนเพื่อน แฟนหรือครอบครัวไปร่วมกิจกรรมกันอย่างคับคั่ง

ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่แค่ที่เดียว แต่มีหลายที่ที่จัดกิจกรรมแบบนี้รวมทั้งมีการแสดงหรือพากย์บอลสดๆ จากกูรูนักพากย์ชื่อดัง ไม่นับรวมสวนอาหารใหญ่ๆ ตามชานเมืองที่จ้องแย่งตัวนักพากย์ดังๆ มาสร้างความบันเทิงเริงรมย์ให้กับคอบอลทั้งหลาย




โดยที่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพราะตั้งแต่ต้นฤดูกาล ผลงานของทั้งคู่ ไม่ได้สร้างความประทับใจสักเท่าไหร่ เริ่มจากขุนพลปิศาจแดงที่ออกสตาร์ตแย่ที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงเดือนพฤศจิกายน โค้ชหลุยส์ ฟาน ฮัล พาลูกทีมเก็บชัยชนะได้แค่ 3 เกมเท่านั้น ก่อนที่จะมาดีขึ้นหลังจากนั้นด้วยชัยชนะ 6 เกมติด

ในขณะที่ทัพ ทีมหงส์แดงของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เดือนสิงหาคม รวมทุกรายการแพ้ไปถึง 9 นัด และเพิ่งสดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอล ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกต่างหาก แถมผลงานในลีกก็อยู่กลางตารางจนมีสื่อพร้อมใจกันเล่นข่าวว่า บีร็อด นั้นอาจจะถูกปลดในเร็ววัน ยิ่งถ้าแพ้ในแดงเดือดนัดนี้อีกไม่อยากจะคิดสภาพจริง ๆ

และนอกจากนั้น ในแดงเดือดครั้งนี้บรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดแฟนบอลก็หายไปเยอะ อย่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เท่าไหร่ ไม่มี พี่ด็อบบี้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่เจ็บอยู่เพียงคนเดียว





เพียงแต่ว่าทางด้าน ทีมลิเวอร์พูล ไม่มี หม่อมเหยิน หลุยส์ ซัวเรซ ที่ขายให้ ทีมบาร์ซ่าไปแล้ว ซึ่งแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่กำลังบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เองก็โรยราไปตามวัย ไม่ร้อนแรงเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ

ซึ่งยิ่งตัวที่เหลืออยู่อย่าง เกรียนโอ้ นั้นทำให้แฟนหงส์พันธุ์ไทยทุกคนคงพูดได้เต็มปากว่า ไม่มีใครอยากดูเกรียนโอ้เล่นบอลขนาดนั้นหรอก บวกกับผลงานในสนามที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขี้เกียจอีกต่างหาก นี้แหละคือความหมายของการนำเงิน 16 ล้านปอนด์ ไปละลายแม่น้ำเล่น

และอีกประเด็นที่มองว่าน่าตารางบอลจะทำให้แดงเดือดคราวนี้เงียบเหงาเป็นเป่าสากซะเหลือเกิน คงหนีไม่พ้นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจที่ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ข้าวของแพง ไม่ค่อยมีเอกชนหรือหน่วยงานไหน รวมถึงคนทั่วไปอยากจะทุ่มงบประมาณมาจัดอีเวนต์ที่เปรียบเสมือนการทุ่มเงินหลักล้านในคืนเดียวหรอก เก็บเงินไว้เที่ยวช่วงปีใหม่เลยทีเดียวจะดีกว่า






และ ข้อสรุปง่ายๆ ของไฮไลท์ฟุตบอลแดงเดือดที่จะแข่งคือ นั่งดูฟุตบอลนัดนี้อยู่บ้านคนเดียวดีกว่า เพราะหลายครั้งที่หลายคนมักจะเลือกไปดูบอลบิ๊กแมตช์ตามที่ต่างๆ กับเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ลองเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งดูฟุตบอลคู่นี้คนเดียวในห้อง ซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ ของว่างมานั่งกิน

นั้นอาจจะทำให้ได้ชมฟุตบอลในแบบที่ต่างออกไป มีสมาธิในการดูมากขึ้น จะเห็นมิติต่างๆ ของทั้งสองทีมในแง่แท็กติกและการวางแผนของผู้จัดการทีม นอกจากฝีเท้าของนักเตะ

แต่พอบอลจบก็ได้เตรียมนอนหลับพักผ่อนชาร์จไฟเนื่องจากวันพรุ่งนี้ก็ต้องทำงานแล้ว ถ้าออกไปชมเกมข้างนอก หรือตามกิจกรรมแดงเดือดที่จัดขึ้นเหมือนปีก่อนๆ อาจจะมีติดลม งานไหลจนต้องตื่นสายไปทำงานได้เหมือนกัน

แต่ว่าอย่างน้อยถึงในเมืองไทยจะเงียบเหงายังไง แต่อยากให้ชมฟุตบอลคู่นี้ให้ได้ประเด็น ไม่ใช่อะไรมาก เพราะปีนี้มีแนวโน้มสูงว่า

และแม้จะเป็นนัดสุดท้ายที่เราจะได้เห็น พี่เจิด สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงเตะบอลที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในสีเสื้อลิเวอร์พูลครับ

Bank