วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์บอล สเตอร์ลิ่ง VS ซานเชซ ก่อนเกมเดือด ที่แอนฟิลด์

วิเคราะห์บอล สเตอร์ลิ่ง VS ซานเชซ ก่อนเกมเดือด ที่แอนฟิลด์




ซึ่งหลังจากที่ อเล็กซิส ซานเชซ ได้โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่นกับ ทีมฟุตบอลอาร์เซนอลในฤดูกาลนี้ จนที่ว่ากันว่าเขามีบทบาทและอิทธิพลสำคัญต่อ ทีมปืนใหญ่ เหมือนกับที่ หลุยส์ ซัวเรซ เคยทำไว้ตอนย้ายมาเล่นให้ทีมลิเวอร์พูล

และ ล่าสุด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ ทีมหงส์แดง ก็ออกมาชื่นชม ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งทำ 2 ประตู ในเกมลีกคัพรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่บุกชนะบอร์นมัธ 3-1 ว่าดาวรุ่งรายนี้มีผลงานที่โดดเด่นไม่น้อยไปกว่าซานเชซเลย

สำหรับบทบาทของเขาในทีมไม่ต่างจากบทบาทที่ อเล็กซิส ซานเชซ มีต่อ ทีมอาร์เซนอล ร็อดเจอร์ส บอก

ซึ่งเขาไม่ใช่ศูนย์หน้าอาชีพ แต่ความเร็วของเขาในการสปีดหนีกองหลังหรือสอดทะลุแนวรับเข้าไปนั้นสร้างปัญหาได้ตลอด และคุณได้เห็นแล้วจากนัดนี้ว่าเขาสามารถรับบอล พลิกบอล และพาบอลจี้เข้าหากองหลังได้ยังไงบ้าง เขาสุดยอดมาก

และหนังสือพิมพ์ เดอะเทเลกราฟ จึงได้นำเอาสถิติใน ศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ของทั้ง สเตอร์ลิ่ง และ ซานเชซ มาเปรียบเทียบและวิเคราะห์บอลจุดหลักๆ ให้ดูกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะได้วัดฝีเท้ากันจริงๆ ในเกมบิ๊กแมตช์วันอาทิตย์นี้

1.การทำประตู

ถึงแม้จะทำได้ 2 ประตู ในเกมลีกคัพนัดล่าสุด แต่สเตอร์ลิ่งก็ทำประตูในพรีเมียร์ลีกไม่ได้เลยนับตั้งแต่เดือนกันยายน และเพิ่งยิงไปแค่ 3 ลูก เท่านั้น ในฤดูกาลนี้

ส่วนทางด้านซานเชซเป็นดาวซัลโวสูงสุดอันดับ 3 ของโปรแกรมพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ จากการทำ 9 ประตู ในการลงเล่น 15 นัด และยิงรวมกัน 15 นัด ในทุกรายการของฤดูกาลนี้

และถ้าหากดูกันที่โอกาสในการทำประตูแล้ว ซานเชซเฉือนสเตอร์ลิ่งไปเล็กน้อยที่ 28 ต่อ 24 และมีความแม่นยำในการยิงเข้ากรอบมากกว่าที่ 71% ต่อ 63% ส่วนลูกที่ยิงไปติดบล็อก กองหน้าของอาร์เซนอลก็มีสถิติสูงกว่าที่ 15 ต่อ 12

2.การสร้างสรรค์เกม

สำหรับซานเชซนั้นทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมยิงได้มากกว่าสเตอร์ลิ่ง 1 ครั้ง ที่ 5 ต่อ 4 แต่ถ้าดูจริงๆ แล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะ ทีมลิเวอร์พูลทำประตูได้น้อยกว่าอาร์เซนอลถึง 9 ลูก ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

แต่ว่าถ้าดูที่การจ่ายบอลแล้วสเตอร์ลิ่งทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วน โดยเขาจ่ายบอลสำเร็จถึง 80% จากจำนวน 524 ครั้ง ขณะที่ซานเชซทำได้ 77% ของการจ่าย 666 ครั้ง

และสำหรับการลากเลื้อยบอลหลบคู่ต่อสู้ ดาวรุ่งของหงส์แดงก็เฉือนไปอย่างเฉียดฉิวที่ 49% ต่อ 48%

ในขณะที่เปอร์เซ็นต์การเปิดบอลเข้ากลางไปถึงเพื่อนร่วมทีมได้ สเตอร์ลิ่งก็ทำได้ดีกว่ามาก แม้จะเปิดแค่ 38 ต่อ 83 ครั้ง ของซานเชซ แต่สำเร็จถึง 21% ต่อ 17%

3.เกมรับ

ตัวของสเตอร์ลิ่ง นั้นลงมาช่วยป้องกันการบุกของคู่ต่อสู้ได้ดีกว่า โดยแย่งบอลสำเร็จถึง 86% เมื่อเทียบกับ 72% ของซานเชซ แม้ว่าจะเข้าแท็กเกิ้ลน้อยกว่าที่ 21 ต่อ 29 ครั้ง ก็ตาม

แต่ว่า ซานเชซ ตัดบอลจากการจ่ายบอลคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าที่ 16 ต่อ 12 ครั้ง แต่สเตอร์ลิ่งก็ช่วยเคลียร์บอลทิ้งได้มากกว่าที่ 8 ต่อ 1

มันจะมีจริงเหรอ แสงสว่างปลายอุโมงค์ของหงส์แดง?




ก็อยากจะทราบเหมือนกันว่า หลังจบเกมบุกชนะ ทีมบอร์นสมัธ จ่าฝูง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ สวยหรู 3-1 พร้อมตีตั๋วเข้ารอบตัดเชือก ลีก คัพ ได้แล้ว

สำหรับทิศทาง ที่ควรวิจารณ์ผลงานของหงส์แดงควรเป็นอย่างไร?

ซึ่งตัวผมเองก็ หลีกเลี่ยง ตลอดในเรื่องการวิเคราะห์ตารางบอลแบบสาดเสียเทเสีย เฉพาะอย่างยิ่งใน กรณีลิเวอร์พูล เพราะพื้นฐานทีมนั้นดีอยู่แล้ว

และการจะมาเป็นทีมแย่ๆ เพียงชั่ว ข้ามคืน หรือไม่กี่เดือนจากวันเวลา อันดับ 2 ในลีกซีซั่นที่ผ่านมา

มันเป็นไปไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันดับ 11 ในลีก มันไม่ได้ สะท้อน ความเป็นจริง หรือตามภาษาอังกฤษ ก็คือ under perform หรือเล่นต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น




เพราะฉะนั้น ทีมลิเวอร์พูล ก็รอแค่ เวลา หรือ ชนวน อะไรสักอย่างที่จะมาปลดล็อกการทำประตู

และจากที่เห็น แวบๆ ในเกม ศึกแดงเดือด เหล่าขุนพล ทีมลิเวอร์พูล นั้นได้ฉายแววบางสิ่งบางอย่าง ออกมา

ไม่ว่าจะทั้ง รูปแบบ การเล่น Fault No9 ที่มี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นตัวหลักสนับสนุนโดย อดัม ลัลลาน่า และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่

และใช้กองกลาง 4 ตัวมีดังนี้
  1. สตีวี่ เจอร์ราร์ด เป็นหลักตรงกลาง 
  2. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทางด้านขวา 


ซึ่งในนัดที่แพ้ ทีมแมนฯ ยูฯ 0-3 ได้ใช้ โจ อัลเลน ยืนกลาง และมี อัลแบร์โต้ โมเรโน่ ยืนฝั่งซ้าย

แต่ทว่าเกมนี้กับยอดทีมชายฝั่งทะเลอังกฤษ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ใช้ ลูคัส ยืนกลาง และลาซาร์ มาร์โควิช ยืนริมเส้นฝั่งซ้าย




และนักเตะที่ถูก กล่าวขวัญ อย่างมาก คือ มาร์โควิช ดาวเตะเซิร์บจากเบนฟิก้าที่โชว์เล็กๆ ในเกมบาเซิลก่อนที่จะโดน ใบแดง และนัดที่ผ่านมากับ ทีมปิศาจแดง

เขาได้แจ้งเกิดเต็มตัวในแมตช์นี้

ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คือ ระบบกองหลัง 3 ตัว:


  1. เดยัน ลอฟเรน
  2. มาร์ติน สเคอร์เทล 
  3. โคโล ตูเร่ 


ที่รายหลังได้เล่นเพราะ เกล็น จอห์นสัน เจ็บยาว 1 เดือน

แต่ทว่าดูเหมือนจะเป็นผลดี เพราะซีซั่นนี้ ตูเร่เล่นดีทุกนัดที่ได้โอกาสลงสนาม ต่างจาก จีเจ ที่ไม่ค่อยประทับใจจ๊อด

โดยท้ายสุด ๆ จริงๆ คือ การปรับใช้ แบรด โจนส์ ยืนนายทวารแทน ซิมง มิโญเล่ต์

ซึ่งนายทวารชาวออสซี่ นั้นดีกว่า มิโญเล่ต์แน่นอนในเรื่องการ ใช้เท้า ที่สำคัญมากๆ สำหรับ ปรัชญา การเล่นของ ร็อดเจอร์ส และ ทีมลิเวอร์พูล

แต่ว่าอย่างน้อย โจนส์ ซึ่งถนัดซ้าย สามารถใช้เท้าได้ดีทั้ง 2 เท้า และดู นิ่ง แม้จะดูเหมือนจะมีจุดด้อยเรื่องการสื่อสารที่ผมมองว่า เงียบไป




โดยรวมๆ ความแล้ว ระบบ 3-4-3 อาจจะ แค่ อาจจะ นะครับ เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชื่อ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในฤดูกาลนี้

ถ้าพูดถึง ระบบการเล่น หรือ ฟอร์เมชั่น แล้วก็นึกถึงซีซั่นที่แล้ว เพราะกว่า ทีมหงส์แดงจะ เข้าที่ ก็พอสมควรเหมือนกันกับสูตรมิดฟิลด์ ไดมอนด์

เพราะก่อนหน้านี้ หลัง “ซาบซึ้ง” กับชีวิตที่ปราศจาก หลุยส์ ซัวเรซ ตามด้วย แดเนียล สเตอร์ริดจ์

และรู้ว่า มาริโอ บาโลเตลลี่ คือคนที่ ไม่ใช่สำหรับทีม

ซึ่งกุนซือไอร์แลนด์เหนือ พยายามจะปรับสูตรการเล่นครั้งใหญ่มา 1 หนแล้ว ด้วยการปรับ เจอร์ราร์ด มาเล่น หน้าต่ำ

แต่ว่าความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผล อาจเป็นเพราะ สตีวี่ จี เลยวัยทะลุทะลวงไปแล้ว แม้ภาพรวมจะถือว่า กัปตันทีมหงส์แดงทำได้ไม่ขี้เหร่ก็ตาม

เพราะก่อนสุดท้าย ร็อดเจอร์ส จะ เดิมพัน และ เสี่ยงที่สุด ในชีวิตกุนซือด้วยการเลือกเกม ศึกแดงเดือด อันเป็นเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 16 ในฤดูกาล

นั้นเป็นแมตช์ เปิดตัว ระบบการเล่นใหม่ 3-4-3 ที่มี สเตอร์ลิ่ง เป็น ตัวหลัก ในเกมรุก

และตามด้วยเกมนี้ และนัดต่อไปที่มีคิวเปิดบ้าน แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ ทีมอาร์เซนอล ในศึก ซูเปอร์ซันเดย์ นี้

ซึ่งถึงเวลานี้ จุดอ่อนหลักๆ ทั้ง 1.มิโญเล่ต์ และ 2.เกล็น จอห์นสัน รวมถึง 3.บาโลเตลลี่ ได้ถูกคัด ออกจากทีม 11 คนแรกไปแล้ว

เช่นกัน ฟอร์เมชั่น 3-4-3 ได้ถูกพัฒนามาในทิศทางที่น่าสนใจมากๆ จาก 2 นัดล่าสุดที่ถูกนำมาใช้ในเกมสำคัญ และ “ไม่ง่าย”

เพราะฉะนั้น ถ้าหากสุดสัปดาห์นี้ ทีมอาร์เซนอล ได้ตกเป็น เหยื่อ คาแอนฟิลด์ ผมว่า ช่วงโปรแกรมโหด ๆ ตอนคริสต์มาส และนิวเยียร์ แฟนหงส์มีสิทธิกลับมามี “รอยยิ้ม” อีกครั้งครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น