วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มหากาพย์ศึกฟุตบอลแดงเดือดเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1894

Red Fight ประวัติศาสตร์สงครามลูกหนังแดงเดือดแห่งเกาะอังกฤษ




ถ้าจะวิเคราะห์บอลพูดถึงความเป็นปฏิปักษ์กันระหว่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ทีมลิเวอร์พูล ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในวงการฟุตบอลว่านี่คือหนึ่งในคู่ปรับที่มีประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาอย่างยาวนานร่วม ร้อยปี

ถึงแม้จะใช้สีเดียวกันเป็นสีประจำสโมสรก็ตาม แต่เป็นแดงคนละเฉด แดงคนละความหมาย

ซึ่งราวกับว่าทั้งสองทีมนี้เกิดมาเพื่อแข่งขัน ประชัน และชิงชังซึ่งกันและกันตลอดเวลาก็ว่าได้

ซึ่งถ้าจะหลักฐานตามประวัติลูกหนัง ของทั้งสองทีม ที่ผูกด้ายแดงแห่งโชคชะตาเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังใช้ชื่อเดิมว่า นิวตัน ฮีธ และ ทีมลิเวอร์พูล เพิ่งแยกตัวจาก ทีมเอฟเวอร์ตัน มาก่อตั้งสโมสรใหม่ โดยการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน ปี 1894 ทีมลิเวอร์พูล เอาชนะ ทีมนิวตัน ฮีธ ไปได้ 2 - 0




1.แมนฯ ยูไนเต็ด ถ่ายไว้เมื่อปี 1910

หลังจากนั้นในปี 1910 ทีมนิวตัน ฮีธ ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลงรับมือกับ ทีมลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกที่ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเกมนี้ถูกบันทึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองทีม

โดยที่ในครั้งนั้น ทีมลิเวอร์พูล ยังเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ 4 - 3


แต่ว่าอย่างไรก็ดีในตอนนั้น การขับเคี่ยวระหว่างสองสโมสรยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ในหมู่ชาวเมือง แมนคูเนียน และ เมืองลิเวอร์พัดเลียน นั้นมีความไม่ถูกกันอยู่ อันเป็นผลสืบเนื่องตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเดิม เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสิ่งทอ ขณะที่ เมืองลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญของประเทศอังกฤษ




2.บิลล์ แชงค์ลี่ย์ กับ บูธรูม ถ่ายไว้เมื่อปี 1960

เพียงแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมีการขุดคลองที่ เมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้เรือต่างๆ ได้ย้ายจากการเทียบท่าที่ เมืองลิเวอร์พูล มาเทียบท่าที่ เมืองแมนเชสเตอร์แทน และทำให้ เมืองลิเวอร์พูล ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย

ซึ่งการขับเคี่ยวเพื่อการเป็น สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ได้เริ่มรุนแรงขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 เมื่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จในการเป็นสโมสรอังกฤษแห่งแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ ในปี 1968

แต่ว่าหลังจากนั้น เมืองลิเวอร์พูล ได้ผงาดขึ้นมาผูกขาดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในยุคเรืองรองสืบเนื่องจาก บิลล์ แชงคลีย์ จนถึงยุคของ เคนนี่ ดัลกลิช เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ

และก่อนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เป็นมหาบุรุษจากสกอตแลนด์ จะพลิกชะตาที่ตกต่ำของเหล่าอสูรแดง ให้กลับมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลระดับโลก จนแซงหน้า ทีมลิเวอร์พูล ในทุกด้านใน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

ซึ่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือการพาทีมคว้าแชมป์ลีกแซงหน้า ทีมหงส์แดง ที่เคยครองอันดับหนึ่งด้วยการ

  1. คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 แบบเดิม 18 สมัย
  2. คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19
  3. ปัจจุบันสมัยที่ 20


ทำให้ทีคมลิเวอร์พูล ต้องชูเรื่องความสำเร็จในเวทียุโรปกับสถิติการเป็นทีมจากอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มากที่สุด 5 สมัยแทน




3.ฝ่ายนึงเป็นแชมป์ยุโรป 5 สมัย และอีกฝ่ายเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 20 ครั้ง

ก็จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสโมสรนั้นสืบเนื่องกันมาช้านานแล้ว และรายละเอียดที่นำเสนอนั้นเป็นเพียงแค่โดยสังเขปเท่านั้น

และถึงแม้ว่าสถานการณ์ในยามนี้ของทั้งสองสโมสรจะตกต่ำลงจากอดีตอยู่บ้าง โดยเฉพาะ ทีมลิเวอร์พูล ที่ย่ำแย่อย่างน่าใจหายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่ ทีมยูไนเต็ด ยังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับสู่ความสำเร็จ

และก็ใช่ว่าความน่าสนใจของการพบกันระหว่างทั้งสองทีมจะลดน้อยถอยลงไป

เพราะขึ้นชื่อว่าศึก เรด ไฟท์

ก็ย่อมไม่เคยมีใครยอมใครอยู่แล้ว

=============

ศึก Red Fight ในตำนาน

ปี 1977 - นัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ



สำหรับทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โดยเวลานั้น ทีมลิเวอร์พูล หวังคว้า ถ้วยเทรเบิลแชมป์ เนื่องจากได้แชมป์ลีกแล้ว รอคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ หากชนะ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจ่อเข้าชิง ศึกยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรกกับ ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ด้วย

แต่ว่า สจ๊วร์ต เพียร์สัน และ จิมมี่ กรีนฮอฟฟ์ ได้ดับฝันหงส์แดง ด้วยชัยชนะ 2 - 1 ของเหล่าทีมปีศาจแดง

ปี 1983  นัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ



ทีมลิเวอร์พูล ได้ล้างแค้นได้สำเร็จในอีก 6 ปีต่อมา เมื่อเอาชนะ ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2 - 1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ จากประตูของอลัน เคนเนดี้ และรอนนี่ วีแลน แม้ว่า นอร์แมน ไวท์ไซด์ จะยิงนำให้ทีมยูไนเต็ดได้ก่อนก็ตาม

นั่นทำให้หงส์แดง คว้าแชมป์ลีก คัพ เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็น โทรฟี่ใบสุดท้ายของบ็อบ เพสลีย์ ก่อนจะอำลาวงการ ส่งผ่านงานต่อให้โจ เฟนแกน ศิษย์ บูทรูม รุ่นต่อไปรับช่วงต่อ


ปี 1994  ศึกพรีเมียร์ลีก



ทีมแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นกำลังอยู่ในช่วงเริ่มของยุคทอง และเป็นฝ่ายออกนำไปแบบสบายๆ 3 - 0 ที่แอนฟิลด์จากประตูของ 1.สตีฟ บรู๊ซ, 2.ไรอัน กิ๊กส์ และ 3.เดนิส เออร์วิน แต่ ทีมลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของแกรม ซูเนสส์ ไม่ยอมแพ้ไล่ตีเสมอได้แบบปาฏิหารย์ จาก 2 ประตูของ ไนเจล คลัฟ และนีล รัดด็อก ก่อนที่จะเสมอกัน 3-3 เป็นเกมช่วงท้ายๆ ก่อนซูเนสส์จะโดนปลดจากตำแหน่ง

ศึกแดงเดือดที่แสนเงียบเหงา




ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า ว่าทำไมฟุตบอลแดงเดือดฤดูกาลนี้ ในนัดแรกทำไมมันดูเงียบๆ ชอบกล ทั้งๆ ที่ ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ทีมลิเวอร์พูล ที่ทั้งสองทีมคือทีมของมหาชนชาวสยาม ที่มีแฟนบอลมากที่สุดทีมนึง

และถ้าเป็นช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา เวลามีฟุตบอลคู่นี้ทีไร มักจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้แฟนบอลไปร่วมสนุกและนั่งรับชมการถ่ายทอดสดทางทีวีจอยักษ์ส่งตรงมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งก็จะมีทั้ง สาวกอสูรแดง กับ สาวกชาวเดอะค็อป ชวนเพื่อน แฟนหรือครอบครัวไปร่วมกิจกรรมกันอย่างคับคั่ง

ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่แค่ที่เดียว แต่มีหลายที่ที่จัดกิจกรรมแบบนี้รวมทั้งมีการแสดงหรือพากย์บอลสดๆ จากกูรูนักพากย์ชื่อดัง ไม่นับรวมสวนอาหารใหญ่ๆ ตามชานเมืองที่จ้องแย่งตัวนักพากย์ดังๆ มาสร้างความบันเทิงเริงรมย์ให้กับคอบอลทั้งหลาย




โดยที่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพราะตั้งแต่ต้นฤดูกาล ผลงานของทั้งคู่ ไม่ได้สร้างความประทับใจสักเท่าไหร่ เริ่มจากขุนพลปิศาจแดงที่ออกสตาร์ตแย่ที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี ตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงเดือนพฤศจิกายน โค้ชหลุยส์ ฟาน ฮัล พาลูกทีมเก็บชัยชนะได้แค่ 3 เกมเท่านั้น ก่อนที่จะมาดีขึ้นหลังจากนั้นด้วยชัยชนะ 6 เกมติด

ในขณะที่ทัพ ทีมหงส์แดงของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เดือนสิงหาคม รวมทุกรายการแพ้ไปถึง 9 นัด และเพิ่งสดๆ ร้อนๆ ที่เพิ่งตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอล ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกต่างหาก แถมผลงานในลีกก็อยู่กลางตารางจนมีสื่อพร้อมใจกันเล่นข่าวว่า บีร็อด นั้นอาจจะถูกปลดในเร็ววัน ยิ่งถ้าแพ้ในแดงเดือดนัดนี้อีกไม่อยากจะคิดสภาพจริง ๆ

และนอกจากนั้น ในแดงเดือดครั้งนี้บรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดแฟนบอลก็หายไปเยอะ อย่าง ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เท่าไหร่ ไม่มี พี่ด็อบบี้ อังเคล ดิ มาเรีย ที่เจ็บอยู่เพียงคนเดียว





เพียงแต่ว่าทางด้าน ทีมลิเวอร์พูล ไม่มี หม่อมเหยิน หลุยส์ ซัวเรซ ที่ขายให้ ทีมบาร์ซ่าไปแล้ว ซึ่งแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่กำลังบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด เองก็โรยราไปตามวัย ไม่ร้อนแรงเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ

ซึ่งยิ่งตัวที่เหลืออยู่อย่าง เกรียนโอ้ นั้นทำให้แฟนหงส์พันธุ์ไทยทุกคนคงพูดได้เต็มปากว่า ไม่มีใครอยากดูเกรียนโอ้เล่นบอลขนาดนั้นหรอก บวกกับผลงานในสนามที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขี้เกียจอีกต่างหาก นี้แหละคือความหมายของการนำเงิน 16 ล้านปอนด์ ไปละลายแม่น้ำเล่น

และอีกประเด็นที่มองว่าน่าตารางบอลจะทำให้แดงเดือดคราวนี้เงียบเหงาเป็นเป่าสากซะเหลือเกิน คงหนีไม่พ้นเรื่องของสภาพเศรษฐกิจที่ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ข้าวของแพง ไม่ค่อยมีเอกชนหรือหน่วยงานไหน รวมถึงคนทั่วไปอยากจะทุ่มงบประมาณมาจัดอีเวนต์ที่เปรียบเสมือนการทุ่มเงินหลักล้านในคืนเดียวหรอก เก็บเงินไว้เที่ยวช่วงปีใหม่เลยทีเดียวจะดีกว่า






และ ข้อสรุปง่ายๆ ของไฮไลท์ฟุตบอลแดงเดือดที่จะแข่งคือ นั่งดูฟุตบอลนัดนี้อยู่บ้านคนเดียวดีกว่า เพราะหลายครั้งที่หลายคนมักจะเลือกไปดูบอลบิ๊กแมตช์ตามที่ต่างๆ กับเพื่อนสนิทมิตรสหาย แต่ลองเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งดูฟุตบอลคู่นี้คนเดียวในห้อง ซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ ของว่างมานั่งกิน

นั้นอาจจะทำให้ได้ชมฟุตบอลในแบบที่ต่างออกไป มีสมาธิในการดูมากขึ้น จะเห็นมิติต่างๆ ของทั้งสองทีมในแง่แท็กติกและการวางแผนของผู้จัดการทีม นอกจากฝีเท้าของนักเตะ

แต่พอบอลจบก็ได้เตรียมนอนหลับพักผ่อนชาร์จไฟเนื่องจากวันพรุ่งนี้ก็ต้องทำงานแล้ว ถ้าออกไปชมเกมข้างนอก หรือตามกิจกรรมแดงเดือดที่จัดขึ้นเหมือนปีก่อนๆ อาจจะมีติดลม งานไหลจนต้องตื่นสายไปทำงานได้เหมือนกัน

แต่ว่าอย่างน้อยถึงในเมืองไทยจะเงียบเหงายังไง แต่อยากให้ชมฟุตบอลคู่นี้ให้ได้ประเด็น ไม่ใช่อะไรมาก เพราะปีนี้มีแนวโน้มสูงว่า

และแม้จะเป็นนัดสุดท้ายที่เราจะได้เห็น พี่เจิด สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลงเตะบอลที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในสีเสื้อลิเวอร์พูลครับ

Bank

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น